ปัญหาผิวสาวยามลมหนาวโชย

ปัญหาผิวสาวยามลมหนาวโชย


ปัญหาผิวสาวยามลมหนาวโชย

Q :
ช่วงเข้าหน้าหนาวมักมีผิวแห้งมากและมีผื่นแดงคันที่ใบหน้าค่ะ อยากทราบว่าหน้าหนาวแบบนี้ควรมีวิธีบำรุงผิวอย่างไรดีคะ
อรอนงค์ / เชียงใหม่


A : ในฤดูหนาวอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังแห้งและคัน หลายคนเข้าใจผิดว่าอาการคันนี้เกิดจากความสกปรก จึงใช้สบู่ฟอกบริเวณนั้นมากขึ้น อาการคันก็เลยมากขึ้นเช่นกัน จึงควรลดการฟอกสบู่ลงและอาจใช้ครีมบำรุงผิว (moisturizer) ร่วมไปด้วย

     สำหรับอาการผื่นแดงคันที่ใบหน้าของคุณอรอนงค์นั้น น่าจะเป็นโรคเซ็บเดิม (Seborrheic dermatitis) ซึ่งพบในคนไทยบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เซ็บเดิมเป็นโรคในกลุ่มเดียวกับรังแคและโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ โรคเซ็บเดิมแสดงอาการเป็นผื่นแดงตามหน้าผาก ข้างแก้ม คิ้ว หรือเป็นผื่นมีขุยที่เหนือคิ้ว ร่องจมูก แนวไรผม นอกจากพบผื่นที่ใบหน้าแล้วยังอาจพบผื่นที่หนังศีรษะคล้ายรังแค แต่หนังศีรษะจะมีผื่นแดง และยังพบตามตำแหน่งอื่นๆ ที่มีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ในรูหู หลังหู ในสะดือ และหัวเหน่า เป็นต้น ในบางรายอาจมีอาการคัน ตำแหน่งที่พบเซ็บเดิมเป็นตำแหน่งเดียวกับที่พบโรคสิว เพราะพบในบริเวณที่ต่อมไขมันทำงานมากเช่นกัน

     ในอดีตโรคเซ็บเดิมนี้พบบ่อยในฝรั่ง แต่ปัจจุบันคนไทยมีสภาพความเป็นอยู่คล้ายชาวตะวันตกและมีความเครียดสูงขึ้น จึงทำให้พบอาการเช่นนี้มากขึ้นด้วย ปัจจัยที่ทำให้โรคเซ็บเดิมหรือรังแคของผิวหน้ากำเริบ ได้แก่ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวหน้าแห้ง ล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยครั้งเกินไป การโดนแสงแดดจัด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัด

     นอกจากนี้ยังพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคเอดส์จะเป็นเซ็บเดิมอย่างรุนแรง แต่คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นโรคเอดส์ก็พบโรคเซ็บเดิมได้บ่อย
เช่นกัน จึงไม่ควรวิตกกังวลว่าถ้าเป็นเซ็บเดิมแล้วจะต้องเป็นเอดส์เสมอไป

     แนวทางในการรักษาโรคนี้ คือหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังกล่าว หากเป็นมากควรพบแพทย์ผิวหนัง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาทาที่เหมาะสม เช่น ครีมทาลดเชื้อยีสต์ หรือครีมสเตียรอยด์อย่างอ่อน เนื่องจากโรคนี้มักเป็นๆ หายๆ คุณจึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป เพราะทำให้เครียดและโรคจะยิ่งกำเริบขึ้น


บำบัดผิวด้วยแสงสี

Q : ไปรักษาสิวและรอยแผลเป็นสิวที่คลินิกแห่งหนึ่ง คุณหมอแนะนำให้ใช้เทคนิคการใช้แสงสีส่องผิวหนัง อยากได้ความรู้พิ่มเติม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ
ทองสุคนธ์ / สมุทรปราการ


A : การบำบัดด้วยแสงสี หรือ Color Therapy เป็นวิธีที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก ยอมรับ
การบำบัดด้วยแสงสีทำให้เกิดขบวนการกระตุ้นระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่ายของเสีย ระบบการสร้างออกซิเจน และคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า ระบบการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งมีผลต่อการสะสมเซลล์ลูไลท์ในชั้นใต้ผิวหนัง

      สำหรับผิวที่แพ้ง่ายใช้แสงสีแดงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตบนใบหน้าได้ดีขึ้น เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนใต้
ผิวหนัง ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวมีสุขภาพดี สามารถใช้แสงสีน้ำเงินได้ เพื่อป้องกันการเกิดสิวและป้องกันการอุดตันของสิวที่เกิดขึ้น

      สำหรับผิวที่มักเป็นสิว จะเริ่มใช้แสงสีน้ำเงินก่อน เพื่อเป็นการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ถ้ากำลังมีสิวอักเสบ ใช้แสงสีแดง เพื่อทำให้การไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนังบริเวณที่เกิดสิวดีขึ้น จากนั้นจึงใช้แสงสีเหลืองเพื่อกระตุ้นให้สิวบริเวณนั้นลดการอักเสบ แล้วจึงใช้แสงสีเขียว เพื่อปรับความสมดุลของผิว สุดท้ายเพื่อป้องกันการเกิดสิวขึ้นใหม่จะใช้
แสงสีน้ำเงิน

     ในกรณีของปัญหาของเม็ดสีผิวหรือผิวหย่อนยาน ใช้แสงสีม่วงเพื่อกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น ไม่แห้งเกินไป ในขณะเดียวกันให้มีการใช้แสงสีแดง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในบริเวณที่มีปัญหาโดยเฉพาะ ช่วยให้มีการผลิตเม็ดสีผิวใต้ผิวหนังได้อย่างสม่ำเสมอ รอยหมองคล้ำหรือจุดด่างดำจึงลดไป

      ส่วนผิวเซลล์ลูไลท์หรือผิวเปลือกส้ม มักเริ่มด้วยแสงสีแดงก่อน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนังและกระตุ้นการเผาผลาญไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง จากนั้นจึงใช้แสงสีน้ำเงิน เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่ายของเสียในร่างกายต่อด้วยแสงสีเหลือง เพื่อขจัดไขมันซึ่งถูกเผาผลาญให้ออกจากร่างกาย สุดท้ายใช้แสงสีม่วงเพื่อกระชับผิว

      เนื่องจากผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยแสงสีมีความแตกต่างกันทางด้านผิวหนัง อายุ เพศ และความสามารถในการตอบสนองต่อการรักษา บางคนอาจเห็นผลทันทีหลังจากที่ได้รับการรักษาไปแล้ว บางรายอาจใช้ระยะเวลา 2 -7 ครั้ง จึงเห็นผล ผลที่ทำไปแล้วจะสามารถอยู่ได้
1- 4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวด้วย


เครื่องสำอางทำจากรก


Q : ปีนี้อายุย่างเข้า 40 เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น มีเพื่อนแนะนำให้ใช้เครื่องสำอางที่ทำจากรก มีทั้งแบบรกแกะ รกคน และชนิดซีรั่มจากวัว อยากขอความเห็นคุณหมอประวิตร พิศาลบุตรค่ะ เพราะราคาแพงมาก กลัวไม่ได้ผลค่ะ
อรณิชา / กรุงเทพ


A : มักมีการเพิ่มเติมสารแปลกๆ ใหม่ๆ หรือสารที่ดูมีราคาเข้าไปในเครื่องสำอาง เพื่อทำให้เข้าใจว่าเครื่องสำอางนั้นๆ ต้องเป็นของดีราคาแพง เช่น มีการผสมไข่ปลาคาเวียร์ ไข่มุก ซีรั่มจากวัว และรกแกะ ทั้งๆ ที่สารเหล่านี้ไม่ใช่สารหลักและไม่สามารถถูกดูดซึมผ่านเข้าไปในผิวหนังได้ ปัจจุบันมีการจำหน่ายเครื่องสำอางผสมรกแกะกันมาก เพราะฟังดูเป็นสารธรรมชาติ ไม่น่ามีอันตราย อีกทั้งยังเชื่อกันว่าในเมื่อ
รกเป็นเหมือนแหล่งที่ให้อาหารหล่อเลี้ยงตัวอ่อนในครรภ์ย่อมน่าจะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณด้วย เมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีการระบาดของโรควัวบ้า (mad cow disease) และแกะบ้า (scrapie) ในแถบยุโรปและอเมริกา ทำให้คนที่รับประทานเนื้อสัตว์เหล่านี้ติดโรค ทำให้สติปัญญาเสื่อม ควบคุมการเคลื่อนไหวลำบากและเสียชีวิตในที่สุด เมื่อตรวจศพพบว่าสมองเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ จึงเรียกเชื้อก่อโรคนี้ว่าเชื้อตัวกินสมอง ที่น่าจะเป็นโปรตีนพรีออนหรือเป็นไวรัสที่ยังค้นไม่พบ พบว่าในรกแกะมีพรีออนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นต้นกำเนิดของโรคนี้ ทำให้หลายประเทศเริ่มห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสัตว์ เพราะอาจถ่ายทอดโรคมาสู่คน ซึ่งโปรตีนพรีออน ในรกแกะนั้นมีความทนทานสูงกว่าไวรัสและไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน รังสีอุลตราไวโอเล็ต รังสีแกมม่า และเอนไซม์ต่างๆ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2550 นี้ มีรายงานจากประเทศไต้หวันว่ามีผู้ติดเชื้อวัวบ้าจากการได้รับการฉีดรกวัวเพื่อให้กลับเป็นหนุ่มเป็นสาว จึงน่าเป็นห่วงว่าการใช้
เครื่องสำอางที่ผลิตจากสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐานมาทาผิวหนังที่มีบาดแผลอาจทำให้ติดโรควัวบ้าแกะบ้าได้ เพราะในปัจจุบันนี้มีธุรกิจขายตรง
และการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตที่อาจไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่วนรกจากคนก็มีโอกาสติดเชื้อร้ายอย่างไวรัสเอชไอวี
หรือโรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบได้ ถ้ากระบวนการสกัดไม่ได้มาตรฐาน หรือรกมีการติดเชื้อมา

      ขอฝากว่าหลักสำคัญในการดูแลผิวให้มีสุขภาพดี ได้แก่ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด งดการสูบบุหรี่ รับประทานอาหารให้ครบหมู่ งดดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่เครียด ท้ายสุดนี้สวัสดีปีใหม่ 2551 คุณผู้อ่าน Health Today ล่วงหน้า ปีใหม่นี้เราคงได้กลับสู่ประชาธิปไตยกันเสียที หลังจากที่ลุ่มๆ ดอนๆ กันมาหลายเดือนแล้วนะครับ


healthtoday

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์