นิทานของพ่อ

นิทานของพ่อ



         กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ เจ้าหญิงของพ่อ  มักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...

        เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ  ปราสาท ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้....

        เมื่อผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องลากแถบดำแล้วกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียทั้งหมด

        หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งแต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ

        - - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? --

        ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา ก็เพราะคำสั้นๆ ว่า "พ่อ" นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน

        พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้นจนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก

        ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง

        "แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี แล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก" พ่อตะโกน

        "ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ" ผมเถียง

        "แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน" พ่อยื่นคำขาดตอบกลับมา

        "พ่อ.... มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ" ผมเถียงอย่างไม่ลดละ

        "แต่ฉันจะบังคับแก" พ่อยืนกรานพร้อมกับยื่นคำขาด

        "พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก"

        "ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ เกลียดการกระทำของพ่อ ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะ  อะไร  พ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ" ผมตวาดใส่พ่อพร้อมสีหน้าแดงก่ำ

        ฝ่ามืออันหนักอึ้งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง ผมหน้าชา ส่วนเจ้าของฝ่ามือเอ่ยด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

        "แกออกไป.... แกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน"

        "ดูแลตัวเองดี ๆ นะ" ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ


        แล้วผมจึงก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา ไม่หันหลังกลับไปมองอีก ด้วยความเคียดแค้นที่คุกกรุ่นอยู่ในใจ


นิทานของพ่อ


นับจากวันนั้นมา.....

        ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆได้บ้าง แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่ แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบหรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า"ตัวประกอบ" เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอ ถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง 
        จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น

        เมื่อความฝันของผมเป็นจริง หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ

        "นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ" ผมพูดด้วยสีหน้าและแววตาลิงโลดใจ

        "เอ้า! นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน" พี่ใหม่เอยพร้อมหยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม แล้วเอ่ยบอก

        "และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง"

        "ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่" ผมรับเช็คค่าความคิดค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

        แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ

        ผมละภาพความหลังเก่า ๆ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำสายน้ำแห่งเจ้าพระยา   ยังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ


        วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง

        "พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ"

        ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ

        "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ"  ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล

        "ก็พ่อน่ะสิ  ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย...." น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ

        "แค่หนังสือเนียนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า" ผมยังวายหยุดว่าพ่อ

              "ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก" คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก หนังสือของผม เพราะหนังสือของผมเหรอ

        "พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้…นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูกและพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม" น้องชายของผมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

        มาถึงตรงนี้หยาดน้ำใสๆก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตาของผม น้องชายของผมยังสาธยายให้ฟังต่ออีกว่า....

        "พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว   ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเองแต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ พ่อยังบอกอีกว่า... พ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง"

        คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้ ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง จะนานแค่ไหนไม่รู้

        เวลาผันผ่านไปนานกี่ชั่วโมงผมมิอาจทราบได้ กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้งและครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า...


        'นิทานของพ่อ'

        พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเองให้ผมเข้มแข็ง ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง

        ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน และ....

        ผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก


นิทานของพ่อ


แหล่งที่มา : เรื่องสั้นที่เคยลงในขายหัวเราะ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์