ความงามของความว่าง โดย ท่าน ว.วชิรเมธี‏

ขอบคุณที่มา :: «-(¯`v´¯)«- My Home Page: Have a nice day «-

ความว่างแตกต่างจาก ความมี 
 
               
ความว่าง คือ ภาวะปลอดโปร่งไร้ตัวตน เป็นสุญญากาศ
 
              
ความมี     
คือ ภาวะอัดแน่นเต็ม ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับบรรจุอะไรได้อีก 


 


             แม้ ความว่างและ ความมีแตกต่างกัน แต่ก็อาศัยกันและกันอย่างแยกไม่ออก เพราะหากปราศจากความว่างก็เกิดความมีไม่ได้ หรือความมีจำดำรงอยู่โดยปราศจากความว่างก็ไม่ได้  
 
              แก้วบรรจุน้ำได้เพราะข้างในนั้นว่างเปล่า ถนนมีรถวิ่งได้เพราะท้องถนนว่างโบสถ์วิหาร อาคารเรือนมีคนอาศัยอยู่ได้เพราะมีห้องโถงอันว่างโล่งในอากาศมี ความว่าง นก ผีเสื้อ แมลง หรือแม้แต่อากาศยานจึงโบยบินได้อย่างเสรี ความว่างจึงนับว่ามีคุณต่อ ความมีอย่างสูงและความมีก็ขับเน้นให้คุณค่าของความว่างนั้นโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

             มหากวีคาลิล ยิบารน เคยนิพนธ์ไว้ว่า เสาของโบสถ์วิหารนั้นไม่ได้อยู่ชิดกัน  แต่เพราะการอยู่ห่างกันนั่นเอง จึงสามารถรองรับตัวโบสถ์วิหารเอาไว้ได้  ส่วนสายพิณนั้นก็แยกกันอยู่ ทว่าเพราะแยกกันอยู่นั่นเอง จึงก่อเกิดสำเนียงเสียงอันไพเราะเสนาะซึ้งต่อโสตสัมผัส
 
             คนสองคนที่อยู่ชิดติดกันเกินไป จนหา พื้นที่ว่างระหว่างความสัมพันธ์ไม่พบ ก็จะก่อให้เกิดความอึดอัดทุรนทุราย
คนรักที่รักกันมากเกินไป จนรักนั้นกลายเป็นความยึดติดครอบครองอย่างคลั่งไคล้ใหลหลง  ย่อมทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสูญเสียอิสรภาพ หรือบางทีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงของในครอบครองของอีกฝ่ายส่วนคู่รักที่ อยู่ห่างเหินเกินไป
 
 
              จนไม่อาจเชื่อมต่อถึงกันและกันได้เลย ก็ก่อให้เกิดภาวะห่างเหิน และอาจเจือจางความสัมพันธ์จนกลายเป็นความชินชาและเลิกร้างจากกั นไปอย่างไม่ไ ยดี


             ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรัก จำเป็นต้องมี ดุลยภาพ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความว่างระหว่างความสัมพันธ์ ความว่างอันเป็นธรรมะชั้นสูงที่เรียกว่า สุญตา มีประโยชน์อย่างมหาศาลเมื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่ เพราะการที่คนสองคนเรียนรู้ที่จะเปิดพื้นที่ว่างให้แก่กันและกันบ้างนั้น ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในกันและกันเพิ่มขึ้น  
 
             ในทางกลับกัน หากไม่เว้นช่องว่างเอาไว้เสียเลย
ภาวะเผด็จการหัวใจ  เผด็จการทางความรู้สึก เผด็จการเหนือชีวิตและทรัพย์สินก็จะเกิดขึ้นได้
 
  
           มนุษย์มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง  ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสรภาพ ต้องการความเบาสบายของจิตใจ และต้องการความเชื่อมั่นว่าตัวตนของตนยังคงเป็นไทอยู่เต็มเปี่ยม  
 
             เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์ก่อให้เกิดความอึดอัดและปวดปร่าเหม
อนหายใจอยู่ ใต้น้ำ เมื่อนั้นเอง รอยร้าวแห่งความสัมพันธ์จะเริ่มเผยตัวตนของมันออกมา หากเรารู้ไม่ทัน  จากรอยร้าวอาจถูกขยายกลายเป็นรอยปริแยก และแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในที่สุด


              อย่าลืมว่า  รูปแบบหนึ่งของความรัก  คือ  การเคารพต่อศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยใจบริสุทธิ์  การที่คนรักกันยอมให้ใครอีกคนหนึ่งมี อาณาจักรส่วนตัวบนวิถีแห่งความสัมพันธ์ของคนสองคนบ้างนั้น จึงเป็นการแสดงความเคารพต่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างละมุนละไม  
 
              
เมื่อได้รับการเคารพ เมื่อได้รับการให้คุณค่า  ก็ย่อมประทับใจ
ความประทับใจนั้นจะงอกงามเป็นความรักที่มาพร้อมกับความปลอดโปร่งหัวใจและความแช่มชื่นเบิกบาน  ว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด
 
              ความรักที่มีส่วนผสมของความปีติเบิกบาน  เพราะตระหนักรู้ว่าในความรักตนยังมีอิสรภาพพอสมควร มีโอกาสจะกลายเป็นรักแท้ที่หนักแน่นดังแผ่นผา  มากกว่าความรักที่มุ่งแต่จะครอบครองอยู่เพียงฝ่ายเดียว   ซึ่งรังแต่จะนำไปสู่ความพยายามขัดขืนและดิ้นรนหาทางสลัดออกจากค วามสัมพันธ์


               ความว่างระหว่างคนสองคนจึงมีความจำเป็นไม่น้อยไปกว่าการที่คนสองคน มีกันและกัน ฉะนั้น ความมี”  หากปราศจาก ความว่างจะมีความเหินห่างรออยู่ตรงปลายทาง แต่หากในความมีมีความว่างเป็นส่วนผสม  กลับมีความมั่นคงเป็นกำไร
 
            
คู่รักที่รู้จักบริหารความว่างและความมีอย่างลงตัว  คือ คู่รักที่มีโอกาสกลายเป็นคู่แท้ของกันและกันตลอดไป


 



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์