7 วันสำคัญที่ควรละเว้นเนื้อสัตว์

7 วันสำคัญที่ควรละเว้นเนื้อสัตว์


1. ในวันเกิดของตนเอง 
 ในวันเกิดของตนเอง ทุกคนพึงใคร่ครวญย้อนระลึกไปถึงวันที่เราจะถือมาในโลกนี้ ในช่วงเวลานั้นทั้งตัวเราและแม่ผู้ให้กำเนิด ชีวิตทั้งคู่ต่างแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้หากปราศจากบุญกุศลและผู้คนรอบข้างค้ำจุน ไฉนเลยเราจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ 

เมื่อวันคล้ายวันเกิดเวียนมาถึง ควรพิจารณาให้เห็นถึงความโชคดีที่เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์ ทำให้มีโอกาสจะบำเพ็ญบารมีสร้างกุศลต่อไปภายหน้า ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณบิดามารดาที่ได้โอบอุ้มเลี้ยงดูตัวเราให้เติบใหญ่มาจนทุกวันนี้ 
ฉะนั้น “วันที่เราได้เกิดมามีชีวิตใหม่ จึงไม่ควรทำลายผ๔อื่น” สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันที่เราเกิดมา มนุษย์พากันฉลองวันเกิดของตนด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์เป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลง แล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร

สัตว์ทุกตัวที่มีพ่อแม่ดูแล หากฆ่าพ่อแม่เขาเสียแล้ว ลูกของเขาใครเล่าจะเลี้ยง ทุกวันนี้เด็กมากมายที่เกิดมายังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ตายเสียแล้ว บ้างพ่อแม่ตายไปไม่ได้เลี้ยงดู บางคนเติบโตขึ้นมาก็อายุสั้น ผู้ที่ได้เห็นแจ้งในกฎแห่งกรรมต่างสลดหดหู่ใจยิ่งนัก 

2. วันเกิดของลูกหลาน 
 วันเกิดของลูกหลาน วันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิด ผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจ คนเรารักทะนุถนอมดวงตาของตน กลัวตาจะมืดบอดอย่างไร ก็รักใคร่ทะนุถนอมลูกของตนอย่างนั้น ยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวี แม้แต่ยุง เหลือบริ้นไร มิยอมให้ขบกัด ยามใดที่ได้ข่าวว่าลูกประสบอุบัติเหตุจะบาดเจ็บหนักหนาแค่ไหนก็ไม่รู้ ยังร่ำไห้ฟูมฟายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยราวกับจะขาดใจ อยากพบหน้าลูกรักให้จงได้ ต่อให้มีเงินทองทรัพย์มสมบัติมากล้นสูงท่วมภูเขาก็จะสละแลกเอาชีวิตลูกของตนไว้ 

สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ เวลาที่มีลูกอ่อนจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ มันเฝ้าแต่คอยระแวดระวังภัยไม่ยอมหลับนอน เกรงว่าลูกน้อยจะได้รับอันตราย ดวงใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ลูกของใครใครก็รัก 

เพราะฉะนั้น วันที่เราได้ลูกจึงไม่ควรฆ่าลูกผู้อื่น วันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจ ก็แล้วทำไมจึงไปทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป 

พ่อแม่ทั้งหลายเมื่อถึงวันเกิดของลูก กับเลี้ยงฉลองให้ด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ เช่นนี้แล้วจะหวังให้ลูกของตนมีอายุยืนได้อย่างไร 

หากเอาเลือดเอาเนื้อลูกของเขามาบำรุงเลี้ยงดูลูกของเรา ก็จะมีแต่โรคภัยคุกคามเบียดเบียน วงเวียนกรรมหมุนสืบต่อไปไม่มีสิ้นสุด พ่อแม่บางคนลูกเกิดมาได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องตายจาก บางคนลูกเกิดมาพิกลพิการไม่สมประกอบ บางคนก็ขี้โรคอ่อนแอ สุขภาพไม่ดี เป็นเพราะเหตุใด กี่คนที่รู้จักพิจารณาใคร่ครวญ 

“สัตว์โลกทั้งหลายล้วนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล…ไม่มีข้อยกเว้น”

3. วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส 
 วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต ในชั่วชีวิตหนึ่งของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว หากมีหลายๆครั้งก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะไปอวยพรให้อีก 

วันแต่งงานคือ วันเริ่มต้นแห่งการมีชีวิตคู่ การได้อยู่ร่วมกันกับคนที่เรารัก ถือว่าเป็นโชคดีครั้งใหญ่ในชีวิต ทุกกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีชีวิตรักกันไปจนแก่จนเฒ่า คู่รักของใครต่างก็ย่อมรักใคร่หวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิต รู้จักรักและหวงแหนคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาครองแต่กลับไปฆ่าคู่ชีวิตผู้อื่น เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องโดดเดี่ยว อ้างว้างไปจนตลอดชีวิต…มันช่างไม่ยุติธรรมเลย 

ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพรากชีวิตสัตว์อื่นคนทั้งหลายมองไม่เห็นกฏแห่งกรรม พากันเลี้ยงฉลองการแต่งงานด้วยเลือดเนื้อชีวิตสัตว์ ทำให้คู่ชีวิตแต่งงานมากมายที่หย่าร้างกัน บางคู่ไม่สามีหรือภรรยาต้องมีอันล้มหายตายจากกันไปต้องมีอันเป็นหม้ายยู่อย่างโดดเดี่ยว ความจริงข้อนี้ควรไตร่ตรองให้ดี 

พิธีมงคลสมรสของชาวจีนเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมายาวนาน เราจะพบเห็นเครื่องใช้ต่างๆในงาน ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะ ปลอกหมอน ผ้าคลุมเตียง ชุดแต่งงาน และแม้แต่ขนมเซ่นไหว้ฟ้าดิน จะมีรูป “ นกหยวนหยาง ” บินเคียงคู่อยู่ด้วยกันพร้อมทั้งเขียนอักษรที่เป็นศิริมงคลอำนวยอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวเพื่อจะได้ครองชีวิตคู่ยั่งยืนสุขสมหวังตลอดไป 
นกหยวนหยางนี้เป็นนกที่มีความรักที่มั่นคงในคู่ของตนไม่ว่าไปไหนๆมันก็จะบินเคียงคู่กันไปตลอดเวลาชั่วชีวิตจะไม่ยอมแยกจากกันเลย หากวันใดที่คู่ของมันตายลงนกอีกตัวหนึ่งก็จะกลั้นใจตายไปด้วย 

ชนชาวจีนยกย่องสรรเสริญความเด็ดเดี่ยวมั่นคงในการครองคู่ของนกชนิดนี้ จึงได้นำมาเป็นสัญลักษณ์ในพิธีมงคลสมรสเพื่อเตือนสติให้อนุชนรุ่นหลังระลึกไว้เสมอว่าคู่ชีวิตของใครไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็ล้วนแต่รักใคร่หวงแหนคู่ของตนทั้งสิ้น 

ฉะนั้น ในวันมงคลสมรส เราจึงไม่ควรทำสิ่งอัปมงคลให้แก่ตนโดยแยกคู่ครองของผู้อื่น เป็นเรื่องน่าอดสูใจอย่างยิ่งที่คนเราแต่งงานกันเพียงคู่เดียว ในวันนั้นคู่ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายต้องถูกฆ่าตายไปมากมาย ชีวิตที่เหลืออยู่ต้องโดดเดี่ยวไปจนชั่วชีวิต…เช่นนี้เป็นการสมควรแล้วหรือ? 

4. งานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร 
 งานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตร ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมกันต่างปลื้มปิติ ดีอกดีใจที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงสนุกสนาน 

โอกาสที่น่ายินดีนี้จึงไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองความดีใจที่ได้พบหน้ากัน แต่สัตว์ทั้งหลายต้องโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกัน สัตว์ทุกตัวต่างก็มีพี่น้องเพื่อนฝูงห่วงใยเฝ้ารอคอยการกลับแม้แต่สุนัขของเรายังแสดงความยินดีอกดีใจทันทีที่เห็นเจ้าของกลับถึงบ้าน หากวันใดกลับมาล่าช้าก็จะเฝ้าชะเง้อคอมองหาคอยท่าอย่างใจจดใจจ่อ สัตว์บางชนิดที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งขาดหายไปตัวอื่นๆ ก็จะรอคอยไม่ยอมไปไหน ไม่ต่างอะไรกับคนเลย ถ้างานเลี้ยงขาดคนที่เรารอคอยพบหน้าไปแม้เพียงคนเดียวงานนั้นดูช่างเงียบเหงาเสียนี่กระไร 

มีปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอว่าปลาวาฬมักจะหลงทางว่ายน้ำเข้ามาเกยตื้นอยู่บนชายฝั่ง ตัวที่มีขนาดใหญ่โตมากโอกาสที่คนจะช่วยให้กลับสู่ทะเลลึกเเป็นไปได้ยากเหลือเกินมันจึงต้องตายอยู่ริมชายหาด ส่วนตัวที่มีขนาดเล็กเมื่อช่วยให้ออกไปได้แล้วก็ว่ายกลับมาที่เดิมอีก หลายฝ่ายต่างไม่เข้าใจในการกระทำของมัน 

สุดท้าย จึงทราบเหตุผลว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะปลาวาฬไม่ต้องการจากฝูงของมันไปตราบใดที่ปลาตัวอื่นๆ ยังไม่สามารถรอดออกไปได้ 

ความรักใคร่สมัครสมานกลมเกลียวห่วงใยซึ่งกันและกันไม่ใช่จะมีแต่ในหมู่มนุษย์เท่านั้น การที่คนเราทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องพลัดพรากแตกแยกกัน จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเลย 

งานที่ต้องการเลี้ยงอาหารเพื่อนฝูงญาติมิตรเช่นนี้ เราจัดขึ้นเป็นประจำ หากเจ้าภาพต้อนรับเลี้ยงดูแขกหรือด้วยเนื้อสัตว์ยิ่งเลี้ยงคนมากสัตวืก็ต้องล้มตายมาก ตรงกันข้ามหากผู้ที่เป็นเจ้าภาพมีความสว่างในใจ งดเว้นเนื้อสัตว์จัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชและผักผลไม้บุญกุศลยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูง ผู้มาร่วมงาน ย่อมจะนำมาซึ่งความปิติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง. 

5. ในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ 
 มีคำกล่าว “หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน”ความหมายก็คือลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่ ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา 100 ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตมาได้ 1 วัน 

ตั้งแต่เรายังเล็กๆ ท่านป้อนข้าว ให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา ให้ความรักและความอบอุ่นยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย กี่พันกันล่ะที่ท่านต้องลำบาดเลี้ยงดูเรา 
เพราะฉะนั้น ต่อให้เรามีอายุยืนอยู่ได้ถึงหมื่นปี คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด 

พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่าเราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็มๆมีบ้างไหม? 

ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง ไม่นำเรื่องราวใดๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน 

การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ เงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงเรามาชั่วชีวิตของท่าน ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้างของ เงินทอง ตลอดจนความรู้ ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้งๆที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้เราได้อีกแล้ว 

การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะขอวิงวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอน ทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิดๆ 

ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ในเรื่องนี้ ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากกันติเตียนในความโง่เขลาของเรา 

ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใใจด้วยเลย..ช่างหน้าสลดใจจริงๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงพึงกระทำอย่างยิ่ง 

ในงานบ่เพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ทรมานยากลำบาก ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่ หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย 

6. ในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส 
 คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิต เปิดโอกาสให้ได้สร้างกุศลอยู่เสมอ เช่น มีกิจการร้านค้าเป็นของตัวเองมีบ้านใหม่ไม่ว่าจะเป็นวันเปิดร้าน วันขึ้นบ้านใหม่ หรือวันทำบุญอื่นๆ การจัดงานในวันทำบุญเหล่านี้ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นให้ชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปมิใช่หรือ? 
ฉะนั้นในงานบุญสร้างกุศลทุกงาน จึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อ เพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์หากทำเช่นนั้นเราจะหวังความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขในชีวิตได้อย่างไร ทุกชีวิตที่ต้องตายล้วนเคียดแค้นอาฆาตพยาบาทต่างจะพากันรุมสาปแช่งไม่ยอมให้มมีความสุขความรุ่งเรืองในกิจการงานใดๆ ไม่ยอมให้เราได้อยู่อย่างมีความสุขในบ้านหลังใหม่ กิจการร้านค้าก็จะตกต่ำแย่บ้านและครอบครัวจะปราศจากความสุขเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งเพราะวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าหากคนฆ่าผู้อื่นแล้วยิ่งเจริญขึ้น สัตว์อื่นๆ ก็จะถูกฆ่าตายเพื่อฉลองความรุ่งเรืองอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาไม่มีวันยอมแน่ 
เพราะเหตุนี้ในโอกาสงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความ เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปเวรเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตายหากทำบาปเสียก่อนเพื่อแลกเอาบุญกุศลทีหลัง เช่นนี้แล้วคิดว่าจะไปรอดหรือ ? 

7. วันขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 
 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองในสากลโลกไม่เคยทอดทิ้งคนดี ไม่มีเรื่องอะไรในใจของมนุษย์ที่ฟ้าเบื้องบนไม่ล่วงรู้ 

คนจำนวนมากกราบวิงวอนขอสิ่งต่างๆ มากมายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับสมความปรารถนา บางคนก็ได้บ้าง บางคนไม่เคยได้เลยเป็นเพราะเหตุใดกัน จะเป็นด้วยว่าฟ้าเบื้องบนลำเอียงไม่ยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชังกระนั้นหรือ ? 
มนุษย์มักคิดเอาแต่ฝ่ายเดียว ไม่เคยมองย้อนกลับมาดูการกระทำของตัวเอง หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสถามเราว่า 

“ เธอได้ทำกรรมดีอะไรกันมาแล้วบ้างที่สมควรจะได้รับการช่วยเหลือจากฟ้าเบื้องบน ในเมื่อปากของเธอก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อผู้อื่น ท้องของเธอก็ยังเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ทั้งหลาย หนี้สินบาปเวรที่เธอสร้างไว้กับผู้อื่นนี้มากมายยังไม่ได้ชดใช้เลยเธอยังจะมีสิทธิ์มาวิงวอนขออะไรได้อีก ” 

เช่นนี้แล้ว…พวกท่านทั้งหลายจะตอบท่านว่าอย่างไร? 

คนในโลกมนุษย์ เมื่อทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องให้จองจำติดคุกติดตาราง 
ในระหว่างที่รับโทษทัณฑ์ใช้หนี้กรรมมีหรือที่ยังจะสามารถเรียกร้องหาความสุข ความสบาย ลาภยศ เงินทอง ใครบ้างจะให้เขาได้ คนที่ยังกินเลือดเนื้อผู้อื่นก็คือติดหนี้เลือดเนื้อชีวิตเขาอยู่เช่นกัน 

บางคนวิงวอนขอให้ลูกหลานมีความกตัญญู แต่ตนเองไม่เคยกตัญญูต่อพ่อแม่เลยแล้วจะหวังไปทำไม 

บ้างก็วิงวอนขอให้มีเงินทองร่ำรวยแต่ตนเองเกียจคร้าน ไม่เคยทำอะไรเลยแล้วจะร่ำรวยได้อย่างไร ? 

บ้างก็วิงวอนขอให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีแต่ตลอดเวลา ตนเองกินเลือดเนื้อสัตว์ที่เต็มไปด้วยพิษภัยแล้วจะให้แข็งแรงได้อย่างไร ? 

บ้างก็วิงวอนขอให้ชีวิตยืนยาวแต่กลับฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำให้ผู้อื่นต้องตาย แล้งจะให้ตัวเองมมีอายุยืนยาวไปได้สักเท่าใด ? 

จงดูต้นไม้เอนไปทางใด ก็ล้มทางนั้น 
คนเราประพฤติอย่างไร ก็สิ้นใจอย่างนั้น 
หากทุกวันสร้างแต่บาปเวร ย่อมต้องได้รับผลของมัน 
ใครเล่าจะช่วยได้ ถ้าไม่ใช่ “ ตัวของเราเอง ” 

ฉะนั้น ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ไหน ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้นให้สะอาดด้วยการกินเจ เว้นจากการกินเนื้อสัตว์ กระทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองโดยมิต้องร้องขอ 

จงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ ล้วนบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไร้มลทินหมดสิ้นกิเลส ไม่มีหนี้สินเวรกรรมใดๆ หลงเหลืออยู่เลย ทุกพระองค์ดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์สะอาดยุติธรรม และเปี่ยมด้วยพระหฤทัยที่เมตตากรุณาต่อปวงสรรพสัตว์ทั้งหลาย 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงไม่เคยหวังเงินทองของถวายที่มีราคาใดๆ จากมนุษย์เลย แต่มีเครื่องสักการะออย่างหนึ่งซึ่งล้ำค่าไม่มีอะไรมาเทียบได้ แม้เงินทองมากมายก็ไม่สามารถซื้อได้ อีกทั้งไม่สามารถไปหามาจากที่ใดแต่ทว่าสิ่งล้ำค่านั้น ทุกคนมีอยู่ในตัวเองสิ่งนั้นก็คือ “ จิตใจ ” 

“ จิตใจ ” ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ที่ดีของมนุษย์นี้แหละเป็นเครื่องสักการะบรรณาการอันล้ำค่าที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์อยากได้ และโปรดหรานกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ไม่ว่ายุคใดสมัยใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าศาสนาไหนต่างรอคอยให้มนุษย์เอาจิตใจที่ปราศจาก ความโกรธ เกลียด จิตใจที่มีแต่ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์มาเป็นเครื่องบูชาถวายต่อพระองค์ 

แต่มนุษย์ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้อองบนผิดหวังตลอดมา นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอมนุษย์ทั้งหลาย จงอย่าได้ทำให้เบื้องบนผิดหวังอีก เพราะการถวายเครื่องสักการะที่เป็นแต่เพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น 

ขอให้ทุกคนจงนำเอา “ จิตใจอันดีงาม ”ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คน ออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทุกพระองค์โดยพร้อมเพรียงกันทุกคนเถิด 

ฉะนั้นโอกาสทั้ง 7 วัน ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะเห็นว่า ในชั่วชีวิตของแต่ละคนล้วนต้องได้ประสพพบเจอ หากเเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงอานิสงส์ของการงดเว้นเนื้อสัตว์ในโอกาสดังกล่าวได้ ก็ย่อมจะเป็นโชคดีทั้งต่อตนเองและผู้ที่มาร่วมงาน ทำให้ทุกคนสามารถตักตวงเอาบุญกุศลไว้ได้อย่างเต็มบริบูรณ์ 

ขออย่าให้ทุกท่านพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกเลย 

ขอความสุข ความเจริญ จงมีแด่ท่านและครอบครัวผู้ปฏิบัติธรรม 


FW

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์