รู้เท่าทัน โรคคอเกร็ง

รู้เท่าทัน โรคคอเกร็ง


คอเกร็ง อีกอาการเจ็บป่วยที่อาจถือว่าเป็นภัยเงียบโดยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศวัย ซึ่งในอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อส่งผลให้ร่างกายส่วนนั้นมีรูปร่างผิดปกติ ไปและเคลื่อนไหวได้จำกัด เพราะหนุ่มๆสาวๆ ยุคใหม่ต้องทำงานทั้งนอกบ้านในบ้านแถมยังต้องดูแลลูกๆ ควบคู่ไปด้วยไม่มีวันหยุดพักผ่อนที่เพียงพอจนเกิดอาการเหนื่อยล้า สมองไม่ทำงานส่งผลให้เกิดความเคียดนี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าจิตใจของเรากำลัง เสี่ยงเป็น โรคเบิร์น เอาท์ ซินโดรม (Burn out syndrome) ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะอาจลุกลามเป็นโรคอื่นตามมาอีกมากมาย

รู้เท่าทัน โรคคอเกร็ง ปรับพฤติกรรมลดความเสี่ยง

รองศาสตราจารย์วิวัฒน์ วจนะวิศิษฐ หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความรู้เล่าถึงอาการดังกล่าวว่า

คอเกร็ง เป็น
อาการปวดคออย่างรุนแรงซึ่งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและซอกคอหดเกร็ง และเมื่อขยับเคลื่อนไหวคอเพียงนิดหน่อยก็จะมีอาการปวด อาจจะเกิดขึ้นอย่างแยบพลันและอาจจะเกิดซ้ำๆ ได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอาจนำไปสู่การปวดเรื้อรังซึ่งกรณีการปวดคอ เกร็งเป็นการปวดอย่างเฉียบพลัน สาเหตุมีด้วยกันหลายประการแต่ที่มักพูดกันถึงเป็นเรื่องของหมอนรองกระดูก เสื่อมซึ่งก็ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งลำคอ

หมอนรองกระดูกเสื่อมของคอพบได้ในคนทั่วไปนับตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อหมอนรองกระดูกคอเสื่อมโรคที่จะตามมาด้วยคือกระดูกงอกหรือที่เรียก กันว่าหินปูนเกาะโดยจะเกิดอยู่รอบหมอนรองกระดูกและข้อต่อซึ่งถ้ากระดูกงอก นี้ไปเบียดเส้นประสาทจะทำให้เกิดอันตรายได้

ประเด็นสำคัญคือเมื่อมีอาการปวดเกิดขึ้น ร่างการจะมีอาการเกร็งทางกล้ามเนื้อซึ่งเมื่อมีการการดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดเบื้องต้นต้องหยุดการเคลื่อนไหวโดยอาจนอนพัก หรือใส่ปลอกคอช่วยพยุง อาจทานยาแก้ปวดใช้ถุงน้ำร้อนประคบก็จะช่วยลดคลายอาการปวด กล้ามเนื้อก็จะคล้ายตัว

ส่วนกรณีที่มีอาการปวดเพิ่มขึ้นและปวดไล่จากหัวไหล่ไปถึงแขนลงไปถึงปลายมือ หากมีอาการปวดร้าวลักษณะนี้ก็อาจแสดงว่ามีความเสื่อมเหล่านี้มากขึ้น มีหินปูนเข้าไปเบียด กด รากประสาทแขนทำให้เกิดอาการปวด รวม ทั้งถ้ามีอาการชาร่วมด้วยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ วินิจฉัยอย่างละเอียด อีกภาวะที่ถือว่ามีความเป็นอันตรายสูงคือการกดไขประสาทซึ่งอาจทำให้เกิด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้

การสังเกตว่า มีการกดทับไขประสาทบริเวณนี้หรือไม่ เบื้องต้นอาจสังเกตได้จากขาทั้งสองข้างซึ่งหากมีอาการเกร็ง กระตุกของขา เดินไม่ถนัด โดยอาจทดสอบด้วยตนเองด้วยการเดินต่อเท้าก้าวต่อก้าว หากไม่สามารถเดินทรงตัวได้ก็แสดงว่ามีอาการเบียดกดประสาทไขสันหลังก็ต้องรีบรับการรักษาและในกรณีนี้ก็มักต้องได้รับการผ่าตัด กรณีการปวดธรรมดา ปวดบริเวณต้นคอมีกล้ามเนื้อเกร็งรวมทั้งกลุ่มที่ปวดร้าวมาที่ปลายแขนจากกดทับรากประสาทส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องผ่าตัด สามารถรักษาได้โดยการทำกายภาพบำบัด ทานยาแก้ปวดลดอักเสบ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะหายจากอาการดังกล่าว

นอกจากนี้พฤติกรรม ที่ผิดไปจากปกติ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานเขียนหนังสือ พิมพ์งาน นั่งโต๊ะ กับเก้าอี้ที่ไม่เหมาะสมกัน อย่างการเขียนหนังสือ ติดต่อกันหลายชั่วโมง พิมพ์คอมพิวเตอร์นานๆ ก้มคอทำงานอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานก็อาจทำให้มีความเสี่ยงของกระดูกคอเกิดขึ้นได้ง่าย

อีกภาวะที่พบบ่อยครั้งและระยะหลังก็มีอาการกล่าวถึงกันมากขึ้นคือ ภาวะพังผิดกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งก็ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยมักจะเกิดขึ้นได้นับแต่ บริเวณท้ายทอย ด้านหลังทั้งสองข้าง มาถึงต้นคอสะบักทั้งสองข้าง รวมถึงหัวไหล่ ซึ่งลักษณะของการปวดดังกล่าวนี้จะมีลักษณะเฉพาะที่สามารถตรวจพบได้ที่เรียกว่าพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบที่มีจุดกดเจ็บภาวะนี้เป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังแต่มักจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงต่อร่างกาย นอกจากจะสร้างความรำคาญ ใช้งานไม่ถนัด อ่อนเพลียง่ายและส่วนใหญ่จะปวดมากตอนกลางคืน ทำให้นอนไม่หลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

ในความเจ็บปวดดังกล่าวที่เป็นเรื้อรังยังพบว่ามีความสัมพันธ์ต่อจิตใจของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังมักจะพบอาการซึมเศร้าร่วมด้วย

การรักษาเบื้องต้นก็จะมีท่ากายบริหารที่สามารถปฏิบัติได้โดยง่ายรวมทั้งการใช้ความร้อนประคบหรืออาจใช้การนวดกดจุดคลายกล้ามเนื้อที่มีอาการเกร็ง หรือ การฉีดยาชาลดการปวดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการรักษาให้หายจากอาการปวดเหล่านี้

ดังนั้นก่อนจะต้องเสี่ยงหรือเผชิญกับโรคคอเกร็ง ควรหันมาสนใจดูแลรักษาสุขภาพไม่มองข้ามความสำคัญของการพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่วมกับกายบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง รวมทั้งการรับประทานอาหารที่สะอาดหลากหลายมีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งนอกจากจะช่วยให้ห่างไกลจากอาการดังกล่าวแล้วยังเป็นอีกเกราะป้องกันโรคภัยต่างๆ อีกด้วย

ทำงาน-พักผ่อนให้พอดี หลีกหนีโรค เบิร์น เอาท์

ผศ.ดร.นพ. ประกอบ ผู้วิบูลย์สุขผู้อำนวยการคลินิกเฉพาะโรค ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค “Burn Out Syndrome” ว่า Burn Out หมายถึง การทำงานหนักมากเกินไปไม่ได้สัดส่วนกับการพักผ่อน จนเกิดอาการสมองไม่แล่น ความจำไม่ดี อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนไม่หลับ นักจิตเวชชาวอเมริกัน เฮอร์เบิร์ต เจ ฟลอยเดนเบอร์เกอร์ ได้นำชื่อ Burn out มาใช้ในการรักษาทางจิตเวชเมื่อปี ค.ศ. 1974 ซึ่งก็คือโรคทางหนึ่งมักเกิดกับคนที่ตั้งความหวังไว้สูงเกี่ยวกับตัวเองและต้องการความเพอร์เฟกต์จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจ

จริงๆ แล้วคนไทยมักมีอาการ Burn Out โดยไม่รู้ตัว เพราะคนไข้ที่มาพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่มักเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว นอกจากนี้หญิงไทยยังมีโอกาสเป็นโรค Burn Out Syndrome สูงเพราะต้องแบกภาระมากมายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงโรคจิต โรคเครียด โรคประสาทมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ซึ่งถ้าคนเราทำงานมากกว่าสัดส่วนการพักผ่อนก็เกิดอาการนี้ได้ แต่หากทำงานแล้วพักเช่น ทำงาน 1 ชั่วโมง ควรใช้สมอง 45 นาที แล้วพัก 10 - 15 นาที สมองจะได้พักและขจัดเมตาบอลิซึมของเสียต่างๆ ออกไปซึ่งควรทำเช่นนี้ทุกๆ ชั่วโมง วันหยุดงานก็เช่นกันทั่วโลกทำงาน 5 วัน พัก 2 วันใน 1 สัปดาห์ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่า Burn Out ที่ไม่ได้สัดส่วนคือทำงานหนักมากเกินไปจนไม่มีเวลาหยุดพักหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจะหมดเรี่ยวแรงและพลังไปในที่สุด

หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ได้มากกว่า 100 โรค เช่น โรคเกี่ยวกับหู โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โดยสัญญาณแรกคือ หมดพลังไม่กระตือรือร้น เฉื่อยชา ความจำแย่ลง ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนแรง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ประสาทเครียด ความดันโลหิตสูงมีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อสูง ซึ่งส่วนมากคนที่เป็นโรค Burn Out มักหาทางออกไปปลอบจิตตัวเองด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ กินยานอนหลับ กินอาหารที่มากเกินไปและสูบบุหรี่จัดซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีในการรักษา

ดังนั้นข้อแนะนำในการรักษาคือควรทำงานพักผ่อนให้ได้สัดส่วนซึ่งสัดส่วนที่พอดีของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจมากหรือบางคนอาจน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในการจัดความสำคัญของงานว่างานใดควรทำก่อนทำหลัง หากจัดสรรเวลาได้ดีแล้วควรมีกิจกรรมคลายเครียด เช่น พูดคุยหรือออกกำลังกายร่วมกับเพื่อนๆ เพราะการออกกำลังกายทางจิตวิทยาถือว่าเป็นการให้คุณค่าแก่ตัวเราเอง สาวๆ ทราบแบบนี้แล้วอย่าทำงานจนโอเวอร์มากเกินไป เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมาอีกมากมายทีเดียว



ขอบคุณ : vcharkarn.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์