ประวัติของแมว

ประวัติของแมว





จากหลักฐานรูปปั้นแมว มัมมี่แมว และภาพเขียนผนังเกี่ยวกับแมวแล้ว เราเชื่อว่าได้มีการเลี้ยงแมวในอียิปต์ มาตั้งแต่โบราณกาล (ประมาณก่อนพุทธศักราช 2,600 ปี) อียิปต์เป็นชาติแรกที่ฝึกแมว ซึ่งเดิมเป็นสัตว์ป่าให้เชื่อง และเลี้ยงแมวไว้ในบ้านเพื่อช่วยจับหนู ช่วยให้พีชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ปราศจากหนูรบกวน เมื่อแมวอียิปต์ ถูกพาลงเรือสินค้าแล่นไปในทะเลเมดิเตอร์เรนียน เพื่อให้ช่วยจับหนูในเรือ เมื่อเรือจอด แมวอาจเดินขึ้นจากเรือ เพื่อเดินหยียดแข้งขา หรืออาจ แวะชมสิ่งน่าสนใจ จนลืมกลับลงเรือ แมวจึงแพร่พันธุ์ไป ในประเทศต่างๆทั่วโลก สำหรับแมวไทยยังไม่มีผู้ทราบประวัติความเป็นมา หรือต้นตระกูลที่แน่ชัด มีชาวต่างประเทศ เขียนหนังสือเรื่องแมวไทยๆไว้ว่า แมวไทยนั้นเดิมอยู่ในวัดสำหรับเฝ้าขโมย ต่อมาแมวไทย เลี้ยงกันเฉพาะในราชสำนัก เจ้านายเท่านั้นที่เป็นเจ้าของแมวได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยัน ว่าเป็นความจริง หรือไม่ แต่เข้าใจว่าแมวไทยเริ่มแพร่พันธุ์ไปยังอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2427 เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้พระราชทาน แมวไทยคู่หนึ่งให้กงศุลอังกฤษ ในขณะที่กราบถวายบังคมลากลับประเทศของตน

รู้จักกับสายพันธุ์ต่างๆของแมว
ต้นตระกูลของแมวมาจากเสือไซบีเรียน ในปัจจุบันได้มีการรวบรวมสายพันธุ์แมวไว้ได้ถึง 36 ชนิด จัดเป็นพวกตระกูลเดียวกับสิงโตและเสือดาว สำหรับแมวบ้านที่เราเลี้ยงกันอยู่มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับแมวป่าอันเป็นพันธุ์ดั้งเดิมเก่าแก่ของโลก
แมวมีชื่อเรียกเป็นภาษาลาตินว่า Felis Cats
แมวมีชื่อสามัญว่า cats หรือ Dormestic Cats หรือ House cats
ชื่อวิทยาศาสตร์(Scientific name) Felis.,domesticus.
ตระกูล(Family) Falidae
อันดับ(Order) Carviora
ชั้น(Class) Mammalia
ไฟลั่ม(Phylum) Chordata
อาณาจักร(Kingdom) Animalia

ตามปกติแมวที่เรานำมาเลี้ยงในบ้านมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติที่ได้จาก
การผสมพันธุ์พัฒนามาจากแมวป่าแอฟริกากับแมวป่าแถบยุโรป

สายพันธุ์แมวไทย








เดิมแมวไทยถูกบันทึกไว้ในสมุดข่อยโบราณว่า มีทั้งสิ้น 23 ชนิด เป็นแมวดีให้คุณ 17 ชนิด และแมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด แต่ปัจจุบันคงเหลือ ให้พบเห็นเพียง 4-5 ชนิดคือ แมววิเชียรมาศ, แมวโคราช, แมวขาวมณี, แมวศุภลักษณ์ และแมวโกญจา






แมววิเชียรมาศ


เป็นแมวไทยชนิดแรกที่ฝรั่งรู้จักและตั้งชื่อว่า "Siamese Cat" เป็นแมวไทยต้นตระกูล ที่ฝรั่งนำไปปรับปรุงพันธุ์ได้แมวไทยอีกหลายสายพันธุ์ แมววิเชียรมาศเป็นแมวไทยโบราณ ในสมุดข่อยยกย่องให้เป็นแมวให้ลาภ ใครเลี้ยงไว้จะได้เป็นขุนนาง เป็นแมวในราชสำนักไทย ปัจจุบันเราเรียก แมวพันธุ์นี้ว่า "แมวเก้าแต้ม" ฝรั่งเรียกว่า Seal Point (แมวแต้มสีครั่ง) เพราะมี แต้มสีน้ำตาลไหม้อยู่ 9 แห่งคือ ที่ปลายหูทั้ง 2 ปลายเท้าทั้ง 4 ปลายหาง 1 ปลายจมูก 1 และ ที่อวัยวะเพศ 1 (ทั้งเพศผู้และเพศเมีย) โดยเฉพาะที่ปลายหู จะมีสีเข้มจัดเป็นระเบียบ แมววิเชียรมาศ สายพันธุ์แท้ นัยน์ตาสีฟ้าประกายสดใส ขณะยังเป็นลูกแมวอายุน้อยสีขนออกสีครีมอ่อนๆ พอโตขึ้น สีจะเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาง) เป็นแมวพันธุ์แท้ ตลอดกาล ไม่ว่าจะไปผสมกับแมว พันธุ์อะไรก็ตาม จะได้สีแต้มตามแบบฉบับ แต่รูปร่างไม่สง่างามเท่า และนิสัยต่างๆจะไม่ตกทอดไปสู่ แมวลูกผสมด้วย







แมวโคราช (korat)


แมวโคราชหรือแมวสีสวาท มีถิ่นเดิมอยู่ที่อำเภอพิมาย จ.นครราชสีมา โบราณเรียกว่า แมวสีดอกเลาหรือแมวมาเลศ เพราะมีสีคล้ายสีดอกเลา ศีรษะจะออกเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่ และแบน มีคางและกรามที่แข็งแรง หูตั้ง หูใหญ่เด่นอยู่บนศีรษะ เป็นแมวที่แสดงออกถึงความ เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เป็นแมวขนาดกลาง ขนสั้นสีสวาท (Silver Blue) นัยน์ตาสีเขียวสดใส เป็น ประกาย ขณะที่ยังเป็นลูกแมวอยู่ตาจะเป้นสีฟ้า เมื่อโตจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด และเมื่อโตเต็มที่ ตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรือสีเหลืองอำพัน







แมวขาวมณีหรือขาวปลอด


เป็นแมวไทยสีขาวที่หลงเหลืออยู่มากที่สุดในปัจจุบัน รูปร่างขนาดปานกลาง ขนสั้นแน่นจมูกสั้น หูใหญ่ตั้งสูงเด่น หางยาวปลายแหลมชี้ตรง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว สีผิวกายขาว มีสองสีคือสีฟ้าและสีเหลืองอำพันเมื่อเอาแมวขาวปลอดตาสีฟ้า ผสมกับแมวขาวปลอดตาสีอำพัน ลูกผสมที่ออกมาจะมีตาสองสีคือ ข้างหนึ่งตาสีฟ้าและอีกข้างหนึ่งตาสีเหลืองอำพัน ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Old Eyes







แมวทองแดงหรือศุภลักษณ์


ในสายตาฝรั่งแล้วเข้าใจว่าแมวทองแดงเป็นแมวพม่า เนื่องจากปี พ.ศ. 2473 ดร.โจเซฟ ซี ทอมสัน ชาวอเมริกัน ได้นำแมวตัวเมียสีน้ำตาล จากประเทศพม่ากลับไปที่ซานฟรานซิสโก แล้วนำไปจดทะเบียน ที่ประเทศอังกฤษ ตั้งชื่อว่า Burmese Cat หรือแมวพม่า นั่นเองและ เป็นแมวพันธุ์หนึ่ง ที่มีคนเลี้ยงกัน มากที่สุดในโลก แต่ในสายตาคนไทย ถือว่าแมวทองแดงเป็นแมวไทย เนื่องจากโครงสร้าง และลักษณะนิสัย เป็นแบบฉบับแมวไทย มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่องครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น พม่าได้กวาดต้อน คนไทยจำนวนหนึ่งไปเป็นเชลยศึกที่พม่าและมีแมวทองแดง ตามเจ้าของ เข้าสู่เขตแดนพม่าด้วย เนื่องจากเป็นแมวชั้นสูงเช่นเดียวกับแมวไทยพันธุ์อื่นๆ พวกขุนนางพม่า จึงนิยมเลี้ยงกัน พอพวกฝรั่งไปพบเข้าจึงเรียกเป็นแมวพม่าไป แมวทองแดงมีรูปร่างขนาดกลาง สง่า น้ำหนักตัวพอประมาณ ขายาวเรียว ฝ่าเท้าอวบ ศีรษะค่อนข้างกลมกว้าง สีขนออกสีน้ำตาลเข้ม คล้ายสีสนิม (สีทองแดง)แต่จะมีสีเข้มมาก ขึ้นบริเวณส่วนหูและในหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพัน เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย รักอิสระเสรีเหนืออื่นใด ชอบสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว กับคนแปลกหน้าแล้วมันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร ปัจจุบันเมืองไทย หายากมากแต่ มีทั่วไปในอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเขาได้พัฒนาผสมพันธุ์กัน จนได้แมวในลักษณะ สีอื่นๆมากมาย ทำนองคล้ายพันธุ์วิเชียรมาศที่แยกออกไปถึง 8 พันธุ์



สายพันธุ์แมวต่างประเทศ






























ระบบประสาทสัมผัส


การมองเห็น(Sight)


วิธีการล่าเหยื่อของแมว มีท่าทางการจ้องมองด้วยดวงตาทั้งสองข้างพร้อมทั้งการได้ยิน ของเสียงด้วยระบบการได้ยินของใบหูทั้งสองส่วนจัดสัมพันธ์กันเป็นองค์ประกอบด้านสื่อ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ได้ดีเป็นพิเศษ แต่แมวไม่สามารถที่จะแยกแยะในส่วนของสี ที่จะช่วยให้มันมองเห็นเป็นรูปร่างได้ทันที เนื่องจากหลังม่านกระจกแก้วตาแมวนั้นมีสิ่งกีดขวาง จึงไม่ช่วยให้แมวมองเห็นวัตถุได้อย่างใกล้ชิด การที่ลูกนัยน์ตาแมวทั้งสองข้างมองเห็นได้นั้นเกิดจาก การควบคุมของระบบประสาทจึงทำให้มันมองเห็นภาพในระยะไกลได้ดีกว่าระยะใกล้ ลูกตาของแมวสามารถเคลื่อนมองได้กว้างถึง 205 องศา ทำให้แมวมองได้รอบทั่วบริเวณ ที่แคบๆ ส่วนบริเวณพื้นที่กว้างๆ การเคลื่อนไหวของรูปร่างจะทำได้เพียงเล็กน้อยเนื่องจาก ระบบการมองเห็นที่ไม่อำนวยต่อมันนั่นเอง


การดมกลิ่น(Smell)


แมวได้ถูกพัฒนาความสามารถในระบบการรับรู้กลิ่นได้ดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับลูกแมวที่เกิดใหม่ ก่อนที่มันจะลืมตาได้นั้น มันจะใช้กลิ่นเป็นตัวนำเพื่อให้มันสามารถดูดนมแม่ได้ถึงแม้ว่าตายังไม่เปิด บริเวณหน้าผากของแมวจะมีต่อมผลิตกลิ่นพิเศษที่เรียกว่า สารฟีโรโมส์(Pheromose)เป็นกลิ่นเฉพาะ ของมัน การที่เราเห็นแมวชอบเอาศีรษะมาถูหรือสัมผัสกับคนเราหรือสิ่งของใดๆนั้น แสดงว่า มันได้ปล่อยกลิ่นของมันไว้ มันจึงแยกแยะรับรู้จากกลิ่นต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้วได้ การปล่อยกลิ่นไว้ในที่ต่างๆ ก็สามารถใช้แสดงความเป็นเจ้าของในสิ่งนั้นของมันได้ด้วย แมวเป็นสัตว์ที่มีการรับรู้ที่ดี มันจะร่าเริงในช่วงที่อากาศอบอุ่นหรือได้รับไอแดด ซึ่งเป็นกลิ่นที่มันปรารถนา การที่เราเห็นแมวนั่งอยู่บริเวณประตูหรือหน้าต่างบ่อยๆก็เพื่อ สูดดมเอากลิ่นไอแดดมาปะทะเข้าจมูกมันนั่นเองแต่กลิ่นที่ได้รับนั้นไม่สามารถกระตุ้นด้วยบริเวณจมูก แต่อากาศที่เข้าสู่จมูกจะถูกดึงดูดขึ้นไปตามท่อรูจมูกบริเวณศีรษะผ่านไปสู่ฟันกรามด้านบน แล้ววนไปสู่ระบบประสาทที่สามารถรับรู้กลิ่นได้ เป็นลักษณะเช่นเดียวกับการรับรู้กลิ่นของสัตว์ประเภทงู


การฟังหรือได้ยินเสียง(Hearing)


แมวสามารถรับฟังเสียงที่มีอัตราความถี่ประมาณ 30-45,000 Hertzโดยเป็นระยะทาง กว้างไกลกว่าคนซึ่งได้ยินเพียง 2,000-5,000Hertz หูของแมวจะมีสันโค้งเป็นจุดรวมการกรอง ของเสียงลักษณะใบหูจะมีขบวนการรับฟังเสียงที่มากระทบโสตประสาทบริเวณหูได้สูงมากในบริเวณ ต้นแหล่งของการเกิดเสียงสะท้อนแมวที่เราเลียงอยู่ในบ้านนั้นสามารถแยกเสียงฝีเท้าเดินของคนในบ้าน และคนแปลกหน้าที่เข้ามาในบ้านได้ด้วย


การสัมผัส(Touch)


แมวมักจะใช้อุ้งฝ่าเท้าส่วนหน้าในการจำแนกหรือวินิจฉัยวัตถุนั้นๆ โดยมีจมูกเป็นตัวกระตุ้น ที่สำคัญในการสัมผัส แมวสามารถมีแรงผลักดันของการรับรู้ในบริเวณช่วงขนที่ขึ้นยาว คือ หนวด คิ้ว และช่วงขนที่เป็นเส้นยาวบริเวณหลังอุ้งฝ่าเท้าคู่หน้า หนวดประเภทนี้จะช่วยให้มันทราบ ตำแหน่งที่ว่างของการรับรู้จากภายในตัวไปสู่บริเวณตำแหน่งของวัตถุได้ภายในไม่เกิน 1 นาที

พฤติกรรมของแมว

การแสดงออกของใบหน้า

เป็นจุดที่ไวมาก หูจะถูกยกยื่นไปข้างหลัง เป็นการเตือนที่จะสู่โจมศัตรูในกรณีที่หู โค้งกลับและถูกดึงให้ต่ำลงข้างๆ เป็นสัญญาณของการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู้

หนวด

ตำแหน่งการกระจายตัวของหนวด ถ้าหนวดแผ่ออก แมวกำลังเครียด หรือสนใจให้ดูจากอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหนวดดูลาดและรวบไปไว้ข้างแก้มแมวจะอยู่ด้านหลังเป็นพุ่มแสดงถึงความสงบสบายใจ

ลูกตาดำ

ม่านดกที่หดเล็กลงจะแสดงถึงความตึงเครียดหรือสนใจอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างมาก ในกรณีที่ม่านตกเปิดกว้าง มันแสดงถึงความประหลาดใจ กลัวหรือเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตัว

การหาว
ไม่ใช่การติดต่อของเชื้อโรคหรือแสดงอาการง่วงนอนที่เกิดกับมนุษย์ แต่มันเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความแน่ใจ การแสดงออกแบบนี้เหมือนกับมันจะพูดว่า "ฉันรู้สึกสบายดีนะและคุณคงเป็นอย่างฉันด้วย"


กิริยาท่าทางที่แมวแสดงออก
หัว
เมื่อแมว 2 ตัวที่ไม่ได้เคยรู้จักกันมาก่อนเลยและมาเผชิญหน้าจะติดต่อทำความรู้จักกัน โดยการยึดหัวที่ตั้งตรงไปข้างหน้า และเมื่อตัวใดตัวหนึ่งรู้สึกว่าเด่นกว่าจะเชิดหัวสูงขึ้นไปอีก ส่วนตัวที่รู้สึกว่าด้อยกว่าจะก้มหัวต่ำลง
 
ลำตัว
ถ้าลำตัวยึดตรง แสดงถึงความมั่นใจและพร้อมที่จะจู่โจมศัตรู ในกรณีที่ลำตัวโค้งงอหรือหลังโก่ง แสดงถึงว่าแมวกลัว และพร้อมที่จะจู่โจมได้ทันที

หาง
หางเป็นเครื่องบ่งบอกอารมณ์ของแมวได้เป็นอย่างดี ถ้าหางนั้นเคลื่อนไหวเป็นคลื่นและสบัดจาก ทางหนึ่งไปยังอีกทางหนึ่ง แสดงถึงมีความตื่นเต้นมาก ๆ เมื่อแมวต้องการแสดงความเป็นมิตร แต่ถ้ามันสบัดหางขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงถึงการขู่ แล้วพร้อมที่จะจู่โจม

ขน
เมื่อแมวอยู่ในภาวะกำลังกลัว ขนจะตั้งชันทั้งตัว ในกรณีที่ขู่หรือเตรียมจะตะปบเหยื่อ ขนจะตั้งขึ้นเพียงเล็กน้อยตามส่วนที่ยื่นออกมาจากลำตัวและหาง


การส่งเสียง
เสียงร้องเหมียวเหมียว
เป็นเสียงที่รู้จักกันดี อาจเกิดขึ้นจากที่ลูกแมวถูกปล่อยทิ้งตามลำพัง หรือไม่มีความสุข ลูกแมวจะเปล่งเสียงนี้เมื่อมันหลุดออกจากลังหรือกำลังหนาว ถ้าแม่แมวมารบกวนในขณะที่หลับ เป็นสัญญาณความไม่พอใจ ขาดการเอาใจใส่ดูแล และรวมไปถึงการเรียกของทั้ง 2 เพศ

การทำเสียงแหลม
เมื่อแมวตกอยู่ในสภาพเครียดมาก ๆ มันจะแสดงความโกรธโดยการส่งเสียงแหลม ซึ่งเสียงนี้ เรียกว่า "เสียงเพื่อป้องกันตัว" จะแสดงออกมาถี่ ๆ นอกจากนี้เสียงร้องที่สูงและต่ำ เป็นการแสดงถึงการจับคู่กันด้วย

การคำราม

จะเกิดขึ้นโดยการยกมุมปาก การคำรามอย่างเต็มกำลังซ้ำ ๆ กันแสดงถึงความจริงจัง แมวใหญ่จะทำกันมากเป็นพิเศษ

การทำเสียงคลัก
เป็นการทำเสียงในระดับสูง แสดงถึงมิตรภาพยินดีจะเป็นเพื่อนด้วยและอาจจะมีการร้องเหมียวเบา ๆ อาจหมายถึงการสนทนาอย่างเป็นกันเอง

การส่งสัญญาณโดยใช้กลิ่น
การส่งสัญญาณประเภทนี้จะให้เกิดผลได้ดีเมื่อแมว 2 ตัวได้สัมผัสกันทั้งโดยตรง และโดยทางอ้อม ต่อมกลิ่นที่อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม คาง เท้าและโคนหาง จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนออกมา โดยเฉพาะในแมวตัวเมียนึ้นจะผลิตฮอร์โมนติดต่อกันเป็นวัฏจักร การถูสัมผัสกันกับแมวตัวอื่น โดนใช้หัว คาง สีข้าง แก้มตลอดจนการใช้ลำตัวไปถูใต้คางของ อีกตัวหนึ่ง ก็เป็นการ สื่อสารแบบหนึ่งด้วย ในแมวตัวผู้มีการปล่อยกลิ่นเพื่อแสดงอาณาเขตของมันเองโดยมักจะชูหางขึ้นและแกว่งไปมา พร้อมทั้งปล่อยของเหลวที่มีกลิ่นออกจากต่อมใต้โคนหาง แมวอาจปล่อยกลิ่นไว้ตาม กำแพง กิ่งและพุ่มไม้ หรือ อาณาเขตของมันโดยทั่วไป กลิ่นจะคงอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ หรือ มากกว่านี้เล็กน้อย และในไม่ช้าก็จะจางไปแต่ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศด้วย หลังจากการต่อสู้ผู้ชนะจะปล่อยกลิ่นหลาย ๆ ครั้งในบริเวณนั้น นอกจากจะแสดงว่า เป็นอาณาเขตของมันแล้ว ยังแสดงถึงความมั่นใจและความแข็งแรงของมันอีกด้วย ฝ่ายที่แพ้ไป นั้นก็จะปล่อยกลิ่นเหล่านี้ในภายหลังโดยจะระมัดระวังไม่ให้ฝ่ายชนะเห็น


White Persian

White Persian

ดิมแมวไทยถูกบันทึกไว้ในสมุดข่อยโบราณว่า มีทั้งสิ้น 23 ชนิด เป็นแมวดีให้คุณ 17 ชนิด และแมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด แต่ปัจจุบันคงเหลือ ให้พบเห็นเพียง 4-5 ชนิดคือ แมววิเชียรมาศ, แมวโคราช, แมวขาวมณี, แมวศุภลักษณ์ และแมวโกญจา

สายพันธุ์แมวไทย



สายพันธุ์ต่างๆของแมว

ประวัติของแมว


ประวัติของแมว


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์