1 เมษา April Fools Day:คุณรู้จักดีแค่ไหนกับวันแห่งการโกหก



วันที่ 1 เม.ย. (April Fools' Day)เป็นวันโกหกของโลก ตามธรรมเนียมของต่างประเทศ จะมีการปล่อยข่าวเท็จ และมาเฉลยตอนท้ายว่า "ไม่เป็นความจริง" เป็นการล้อเล่นกัน พอขำๆ 

สำหรับผมแล้ว การโกหกเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นโกหกสีขาว หรือ สีไหนๆ พูดความจริงจากใจดีกว่า จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ เพียงแต่ต้องคิดก่อนพูดให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ :)


ที่มาของ การโกหกสีขาว (White Lies) เป็น การโกหกด้วยเจตนาดี เพื่อถนอมความรู้สึกและรักษาน้ำใจ แทนที่จะบอกความจริงที่เชื่อว่าผู้ฟังคงรับไม่ได้ออกไป บางครั้งการโกหกในลักษณะนี้เป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจอีกฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นการโกหกเพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุขนั่นเอง

การ “รู้จักโกหก” เพื่อเข้าสังคมนั้น ส่งผลให้บุคคลนั้นๆ เป็นที่ชื่นชอบของคนในสังคมมากกว่าผู้ที่พูดแต่ความจริงเพราะการเข้าสังคม บางครั้งจำเป็นต้องปรุงแต่คำพูดซึ่งต่างไปจากความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อให้ คู่สนทนาสบายใจและประทับใจ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน”

พอล เอ๊กแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งศึกษาเรื่องการโกหกมานานกว่า 40 ปี ลงความเห็นว่า “มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโกหกได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องการโกหกจะเป็นผลดีต่อชีวิต” ฉะนั้นเราต้องรู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นเวลาที่มีคนมาพูดอะไรให้เราฟัง อย่าเพิ่งเชื่อทันทีต้องใช้สติปัญญาในการกลั่นกรองข้อมูลอย่างถูกต้อง เราคงต้องมาพิจารณาดูประเภทของการโกหกก่อน

1.   โกหกเพื่อปกป้องตนเอง เป็นการโกหกเพื่อการเอาตัวรอด เช่น กลัวความผิด กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวเสียเกียรติ กลัวการเผชิญหน้า กลัวความผิดหวัง ฯลฯ การโกหกประเภทนี้ในบางครั้งอาจร้ายแรงถึงขั้นโยนความผิด ใส่ความผู้อื่น เป็นพยานเท็จ ฯลฯ

2.    โกหกเพื่อหวังผลประโยชน์ เป็นการโกหกเพื่อทำให้ตนเองได้รับการยอมรับ ความไว้วางใจ ได้โอกาสในการทำงาน มักเป็นในรูปของการปลอมแปลงข้อมูลทางคุณวุฒิ คุณสมบัติ ฐานะการเงิน ฯลฯ

3.โกหกตนเอง มักเกิดกับคนที่สูญเสียความมั่นใจ สับสน และหวาดกลัวความจริง คนประเภทนี้มักสร้างเรื่อง “หลอกตนเอง”ให้คลายจากความทุกข์ชั่วขณะ เช่นหลอกว่าคนรักที่ทอดทิ้งไปยังมีใจให้อยู่เสมอ และสุดท้ายคนเหล่านี้มักโทษตนเอง อาจเลยไปถึงขั้นทำร้ายร่างกายตนเองหรือตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เพราะไม่สามารถรับความเป็นจริงได้

ดังนั้นในความคิดของผม คิดว่าการโกหกเป็นเพียงการหลีกเลี่ยงความจริง เมื่อคนที่ฟังทราบความจริงแล้วจะเสียความรู้สึกมากกว่าพูดตั้งแต่ครั้งแรก เราต้องใช้สติปัญญาในการพูดความจริงให้เหมาะสม หรือมีวิธีการสื่อสารที่ดีมากกว่าตัดสินใจเลือกวิธีการโกหกแบบบริสุทธิ์ใจหรือโกหกสีขาว


สิ่งที่ผมคิดในใจก็คือ การโกหกไม่ว่าจะสีอะไร ก็ผิดหลักการพระคัมภัร์อยู่แล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกว่า มัทธิว 5:37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว {หรือ มารร้าย}

ในพระบัญญัติของพระจ้า พระองค์ก็ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจน เช่น ในเลวีนิติ 19:11 กล่าวว่า “เจ้าอย่าลักทรัพย์หรือโกง หรือมุสาต่อกัน”

ดังนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดรหัส ตีความเกินเลยไปกว่านั้น การโกหกไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ถือเป็นความผิดบาปทั้งสิ้น เพราะบาปทุกบาปเป็นสิ่งที่ร้ายแรงในสายพระเนตรพระเจ้าหากเรามีเจตนาดีในการพูด แต่ใช้วิธีโกหก นั่นก็ถือเป็นความผิดบาป เพราะพระเจ้าสนใจวิธีการ เนื้อหาและท่าที ทั้ง 3 สิ่งนี้จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เราต้องพิจารณาให้พระเจ้าทรงชันสูตรเพราะการโกหกนำมาซึ่งการปรับโทษ

เรายังเห็นตัวอย่างที่พระเจ้าไม่พอพระทัยเมื่ออานาเนียและสัปฟีรามุสาและพระองค์ลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง (กจ.5:3-5)หรือแม้ว่าตัวอย่างการโกหกของบุคคลที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์

ตัวอย่างการโกหก Classic ของอับราฮัมโกหกต่ออาบีเมเลคพระราชาแห่งเกราร์ก็ ว่าซาราห์ ภรรยาเป็นน้องสาว (ปฐก.2:2-10) ซึ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดีในการปกป้องภรรยาและตนเอง

กรณีนี้ สามีหลายท่านก็มักจะใช้ไม้เด็ดในการบอกกับคนอื่นที่มาถามไถ่ถึงภรรยาก็บอกว่าเป็นน้องสาว เรียกว่า “เป็นโสดเฉพาะคืนนี้”

ในทางตรงกันข้าม บางครั้ง การพูดแบบซื่อ ๆ ก็อาจจะไม่ดีเสมอไป โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ประสงค์ดีต่อเรา

มีคำกล่าวว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนที่พูดความจริงอาจจะตายได้" เช่น โยเซฟ แทบเอาตัวไม่รอดเมื่อเล่าเรื่องความฝันของตนให้พี่ชายฟัง(ปฐก.37)

ข้อคิดคือ เราจึงควรใช้สติปัญญาในการพูดด้วย ทั้งนี้ โดยไม่บิดเบือนความจริง ดังที่พระเยซูกล่าวไว้

มัทธิว 10:16 "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ

การพูดต้องพูดให้ถูกที่ ถูกเวลาและถูกคนว่าพูดกับใครด้วย


องค์ประกอบในการพิจารณา กล่าวโดยสรุป การพิจารณาว่า คำพูดใดเป็นการโกหกหรือไม่ ควรคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 สิ่ง ดังนี้

1.แรงจูงใจ พระเจ้าสนพระทัยแรงจูงใจของเราแรงจูงใจที่ถูกต้อง คือ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองเป็นหลักแต่เห็นแก่ผู้อื่น ด้วยเห็นแก่สิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม เราเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนจากกรณีของนางผดุงครรภ์ช่วยโมเสสให้รอดจากการถูกฆ่า (อพย .1:1-21) ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาไม่โกหกแต่ใช้สติปัญญาทั้งนี้ เพราะยำเกรงพระเจ้า

2.วิธีการ วิธีการที่เราเลือกควรจะไม่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์ เช่น ในการทำธุรกิจ เช่น พูดไม่ครบหรือถึงขนาดพูดโกหก แต่คริสเตียนทำเช่นนั้นไม่ได้ แท้ที่จริง การแข่งขันในการทำงานเพื่อให้ได้ผลกำไรไม่ผิด แต่ต้องไม่ใช้วิธีการที่ผิดเช่นโกหก

3.จิตสำนึก เรารักษาจิตสำนึกชอบเสมอในการทำทุกสิ่ง รวมทั้งในการพูดด้วย เพราะหากเราเลือกวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขันด้วยการโกหก จิตสำนึกของเราจะเริ่มเสื่อมไป เพราะคิดว่าจะไม่เป็นไร โกหกครั้งแรกได้ก็มีครั้งต่อๆไป จิตสำนึกเราจะถูกครอบงำโดยมารได้ง่าย 1 ทิโมธี 4:2 ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร

ข้อแนะนำในภาคปฎิบัติ 

1. เลือกใช้วิธีการที่ถูกต้องที่สุดอย่างสุดความสามารถโดยไม่ประนีประนอม

2. พิจารณาแรงจูงใจเบื้องหลังของผู้ถาม และตอบอย่างเหมาะสม หรือบางครั้งไม่ตอบเสียดีกว่าตอบไปอย่างบิดเบือน

3. ในการสื่อสารควรคิดพิจารณาอย่างรอบคอบของผลที่จะตามมาก่อนจะสื่อสาร หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์และมีความเข้าใจพระคัมภีร์ 

4. คิดก่อนที่จะพูดทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญ 

5. พูดความจริงด้วยใจรัก โดยเห็นแก่ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง


ดังนั้นการโกหกสีขาว เป็นการกระทำสีเทาๆ ที่เราต้องพิจารณาในหลักการของพระเจ้า เราควรจะยึดมันในหลักการ จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดความจริงจากใจจริง สิ่งที่ตามมาคือ ความจริงที่แจ้งไป เราเอาใจใครทุกคนไม่ได้ บางครั้งสิ่งที่ถูกใจอาจจะไม่ถูกต้อง เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำอะไรสีเทาๆ ครึ่งๆกลางๆ จะทำไม่ได้

ขอพระเจ้าอวยพระพรในการยึดมั่นในหลักความจริงของพระองค์

 1 เมษา April Fools Day:คุณรู้จักดีแค่ไหนกับวันแห่งการโกหก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์