ฤดูกาลแห่งชีวิต

ฤดูกาลแห่งชีวิต

ณ.สถานที่ปฏิบัติในภาคกลางแห่งหนึ่ง ภายใต้ความร่มรื่นของหมู่แมกไม้ ศิษย์คนหนึ่งกำลังสนทนาเรื่องทั่วๆไปกับอาจารย์
อาจารย์ ครับปีนี้ลมหนาวมาไว และพัดอยู่หลายวัน ผมรู้สึกว่า พลอยทำให้ใจสบายปลอดโปร่งไปด้วยครับ
แล้วเจ้า ได้ยินที่ฤดูกาลเขาสอนเราไหมเล่า ?
ฤดูก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวๆก็ปีหนึ่ง เราก็จะแก่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างนั้นใช่ไหมครับ อาจารย์
ก็คงใช่ แต่เราเคยคิดไหมล่ะว่า ฤดูกาลและชีวิตนี่มันคล้ายกันอยู่ไม่น้อยเลย
อย่างไรครับ อาจารย์ ลูกศิษย์ เริ่มสนใจเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
อาจจะเป็นเพราะเจ้ายังไม่แก่เหมือน อาจารย์ จึงอาจยังดูไม่ออก ความจริงไม่จะเป็นฤดูกาล หรือว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ต่างก็มีวัฏจักรในการดำรงชีวิตของตัวเองทั้งนั้น

บรรยากาศช่วงต้นปีจะเป็นหน้าหนาว อากาศจะค่อนข้างเย็นสบายเป็นช่วงที่มีความสุขจาก อุณหภูมิที่ กำลังพอดี ไม่ร้อนจนเกินไป เปรียบเสมือนเหมือนช่วงวัยเยาว์ที่มีพ่อแม่ดูแล ทนุถนอม แค่กินได้นอนดีก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ชมกันแล้ว ชีวิตในวัยเยาว์ก็แค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็เป็นช่วงสำคัญในชีวิตที่เราจะได้รู้จักความอบอุ่นและความรักอันบริสุทธ์ ของพ่อแม่ ซึ่งจะ เป็นพื้นฐานของอารมณ์แห่งการรู้จักให้ และแบ่งปันไปตลอดชีวิต

เมื่อหน้าหนาวผ่านไป ความร้อนก็มาเยือนเป็นระยะเวลานาน เปรียบเสมือนชีวิตในวัยศึกษา ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และแข่งขัน จบมาแล้วก็ต้องลำบากหางานทำเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สะสมทรัพย์เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ และใช้ในบั้นปลายชีวิต เป็นช่วงเวลาเหน้ดเหนื่อยและยาวนาน นี่แหละเสมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ชีวิตนี้นอกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ก็ไม่มีอะไร ความสุขที่แท้ก็เป็นแค่การบำบัดความทุกข์ได้ถูกวิธีและชั่วคราวแค่นั้น เช่นหิวก็ได้กินก็พอใจ อยากได้เมื่อสมอยากก็พอใจ แล้วก็หิวก็อยากเรื่องใหม่อีกเรื่อยไป

หน้าฝนนั้นก็จะมีฝนตกยบ่อยช่วยมาดับความร้อนบ้างเป็นบางคราว ไม่ให้ชีวิตทุกข์ยาก ลำบากจนเกินไป ก็อาจจะเปรียบได้กับผลของการศึกษาเล่าเรียนและหน้าที่การงาน ชื่อเสียงทรัพย์สินก็พอให้เรามีกำลังใจใช้ชีวิตต่อไป หรือแม้แต่ความสุขในกามก็เพียงแค่สุขชั่วคราวเล็กๆน้อยๆ ชั่วคราวแค่นั้นเอง

แล้วก็เข้าสู่หน้าหนาวเมื่อปลายปี ก็เปรียบชีวิตที่มาถึงฝั่งในช่วงบั้นปลายของชีวิต เราจะได้พักผ่อนเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเดินทางสู่หน้าหนาวในต้นปีต่อไป

มีปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมชาติให้ร่างกายไว้สำหรับเคลื่นไหว ให้วัยเด็กไว้เพื่อเรียนรู้ ให้วัยผู้ใหญ่ไว้ทำงาน และให้วัยชราไว้เพื่อพักผ่อนอยู่สุขสบาย

โอ ! อาจารย์ ครับดูๆไปแล้วมันออกเศร้าอย่างไรบอกไม่ถูก เลยครับ

แหม เอ็งนี่ เรื่องมากจริงๆ มันยังไม่ถึงตอนจบเลย จบแบบนี้ มันยังไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
ความจริงชีวิตนี้ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่เหนือจากนั้นก็คือ สิ่งที่ คนๆหนึ่งจะมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ และสังคม เพราะชีวิตที่แท้แล้วย่อมไม่มีสาระอะไรมากนัก เราต้องรู้ว่า สาระของชีวิตนั้นก็คือความดีงามที่คนๆหนึ่งจะได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาจากวิสัยธรรมชาติ ที่กระทำเพื่อความอยู่รอด จ้องเอาประโยชน์ส่วนตัว ทำเพื่อสนองกิเลสของตัว แต่มนุษย์มีความแยกแยะสิ่งดีและไม่ดีด้วยความละอายและกลัวต่อบาป ด้วยการถือศีลห้าเป็นอย่างน้อย เราจึงจะพ้นจากวิสัยของสัตว์ เพื่อกลับมาเป็นมนุษย์ที่แปลว่าผู้มีใจสูง เมื่อเรามีจิตใจที่ดีงามเราจึงจะมีความเต็มอิ่มทางจิตใจ เราจึงจะมีเมตตาปราถนา ให้ผู้อื่นมีความสุข ย่อมคิดช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมคิดเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น มุ่งกระทำสิ่งที่เป็นโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ

ความเป็นมนุษย์นี้ทำให้เรามีศักยภาพในการเอาชนะความทุกข์ อันคอยบีบคั้นชีวิตให้วิ่งหาความสุขเพื่อคลายทุกข์ อยู่ร่ำไป ศักยภาพนี้คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือการปฏิบัติธรรม ด้วยการฝึกฝนตนเองด้วยศีล สติ สมาธิ ปัญญา จนเรารู้ว่า กายและใจนี้ไม่เที่ยง คือต้นเหตุของทุกข์ เสมือน เหล็กทั้งแท่งที่เขาเพิ่งเอาออกจากเตา ร้อนไปหมดทั้งแท่ง กายและใจนี่ก็คือทุกข์ในลักษณะแบบนั้น อวิชชาคือ ความไม่รู้ทำให้เราสำคัญว่า กายและใจเป็นของเรา เป็นความสุข ก็เท่ากับเรากอดเหล็กร้อนที่เพิ่งออกจากเตา แค่เราวางกายและใจลงบ้าง ไม่ต้องถือว่า ตัวเราดีกว่า แย่กว่า เสมอกับใคร ลดอัตตา มานะ ลงบ้าง ลดการทำตามอารมณ์ลงบ้างโดย แค่เห็นว่าอารมณ์ทั้งหลายมันไม่เที่ยงบ้าง ความโกรธก็ไม่เที่ยงแล้ว พอมันเลยอารมณ์ช่วงนั้นมันก็หายเอง ความโลภ ความหลง ก็ไม่เที่ยง ได้อะไร ดีใจสักครู่ เดี๋ยวก็อยากได้อะไรใหม่อีกแล้ว แค่เรามีสติคอยตามดูจิตของเราไม่เผลอทำตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ก็น้อยลงมากแล้ว

นั้นแหละถ้าจะสรุปก็คือ ธรรมชาติเขามาสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตนี้ย่อมมีวัฎจักรเป็นไปตามธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ในแต่ละวัยเราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ใช้ชีวิตตั้งใจศึกษาในวัยเยาว์ ทำงานในวัยผู้ใหญ่ และพักผ่อนในวัยชรา ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะทำไม่ถูกกับชีวิต เช่นแสวงหาความรักแทนที่จะเรียนเสียก่อน หรือทำงานจนหมดลมหายใจ แทนที่จะได้พักผ่อนบ้าง ทั้งลมหนาวและฝนนั้นแหละที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้เปรียบเสมือนความสุขเล็กๆน้อยจาก กาม เงินทอง ชื่อเสียง ฯลฯ ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เราก็จะไม่รู้จักสาระของชีวิตที่แท้จริง นั้นคือ การทำความดีต่อตนเองและผู้อื่น เราจะปล่อยวางความทุกข์ในสังสารวัฏไม่ได้ แล้วต้องเวียนมาเกิด ชาติแล้วชาติเล่าอยู่ร่ำไป

ถึงตอนนี้เจ้าจะยังงงๆ กับ คำพูดทั้งหมดของ อาจารย์ แต่ อย่างไร ฤดูก็จะเวียนมาสอนเจ้าปีแล้วปีเล่า ให้เข้าใจว่าที่แท้แล้ว ชีวิตก็เปรียบเสมือนฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลง จากหนาว เป็นร้อน เป็นฝน แล้วก็เป็นหนาวอีก ไม่มีใครหยุดได้ ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงจากเด็ก ไปหนุ่มสาว ไปวัยชรา แล้วก็เวียนมาเกิดอีก มีความทุกข์และสุขสลับกันไปแล้ว เหมือนลมหนาวและฝนที่ผ่านมาลดความร้อน อันคือทุกข์ของชีวิตลงบ้างเท่านั้นเอง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์