“ย่าคะ หนูขอโทษ” น้ำตาอาบแก้มเมื่อรู้ว่าย่าแกล้งทำแบบนี้เพื่อพ่อ!!!

พ่อป่วยด้วยโรคมะเร็ง กว่าจะตรวจพบก็ระยะสุดท้ายแล้ว สายวันนั้น พ่อจับมือฉันไว้แล้วก็เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฉันฟังว่า…….

มีคุณแม่ท่านหนึ่งอายุ 30 กว่าๆ เธอมีลูกชายวัย 7-8 ขวบ วันหนึ่งช่วงหน้าฝน แม่เดินไปรับลูกชายจากโรงเรียน ลูกชายเดินนำหน้า ส่วนคุณแม่เดินตามหลัง เป็นเพราะพื้นสะพานที่รื่นทำให้เด็กน้อยพลัดตกสะพาน เธอรีบกระโดดลงไปช่วยลูกชายของเธออย่างไม่ห่วงชีวิต เธอกระเสือกกระสนพาตัวเองว่ายไปจนคว้าตัวลูกชายของเธอไว้ได้ แต่ทว่า เธอว่ายน้ำไม่เป็น เธอพยายามใช้มืออีกข้างว่ายน้ำและดีดเท้ากระทุ้งน้ำเพื่อพาลูกชายและตัวเธอขึ้นฝั่ง ปากก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ โชคดีที่มีชายคนหนึ่งที่ว่ายน้ำเก่งกระโดดลงไปช่วยเธอและลูกไว้ได้ทัน สองแม่ลูกจึงปลอดภัย

ผ่านไปสามสิบกว่าปี สองแม่ลูกได้เดินผ่านสะพานแห่งนี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกชายของนางอายุสี่สิบกว่าปี ส่วนนางก็อายุปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว ด้วยความตรากตรำที่เลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง นางดูแก่ชรากว่าคนอื่นทั่วไป และด้วยความชราและเดินเหินไม่สะดวกนัก ทำให้หญิงชราเดินอยู่ด้านหลังลูกชาย อาจเป็นเพราะเจตนาฟ้า คราวนี้นางเป็นผู้พลัดตกลงจากสะพาน พอลูกชายได้ยินเสียงร้องของแม่ ก็รีบวิ่งมาดู เมื่อเห็นว่าสะพานไม่ห่างจากน้ำมากนัก เขาจึงมองหากิ่งไม้ยื่นลงไปตะโกนให้แม่จับ น่าเวทนา แม่ชราไม่มีแรงที่จะยกมือจับกิ่งไม้ได้ จึงพลัดไหลตามน้ำไป ชาวบ้านใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อช่วยกันงมศพของคุณยายขึ้นจากน้ำ ต่างก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รักของแม่ยาวดั่งสายน้ำไหล รักของลูกกลับยาวเท่ากิ่งไม้แห้ง”

พูดถึงตรงนี้ น้ำตาของคุณพ่อก็ไหลออกมา ฉันรีบปรามคุณพ่อว่าไม่ต้องพูดต่อแล้ว……

“พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ หนูเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงเล่านิทานเรื่องนี้ให้หนูฟัง หนูจะดูแลคุณย่าให้ดีที่สุดพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

 พ่อหลับตาและพยักหน้าแล้วก็บอกกับฉันว่า…….“ขอบใจนะลูก ขอบใจมาก”

ช่วงที่พ่อป่วยหนักได้แต่นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลามา 5 เดือนกว่าจนถึงวันที่พ่อเสียชีวิต แม่ของฉันได้แต่เอาน้ำตาล้างหน้าทุกๆ วัน ในบ้านมีแต่ย่าเท่านั้นที่เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ย่ายังทำตัวเป็นปกติ ตื่นเช้ามาก็หาข้าวให้ไก่ จากนั้นก็เข้าครัวทำกับข้าว ทุกครั้งที่มีญาติๆ มาเยี่ยมพ่อ ย่าก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระและคุยเรื่องตลกให้ทุกๆ คนฟัง จนชาวบ้านพากันพูดไปตามๆ กันว่าย่าของฉันคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ลูกชายป่วยหนักจนจะตายอยู่รอมร่อกลับไม่สะทกสะท้านอะไร

ฉันเองก็คิดเหมือนกับที่ชาวบ้านเขาพูดกัน หลายครั้งที่ฉันเห็นย่าเดินไปที่เตียงนอนของพ่อ ย่ามักจะยกมือที่เหี่ยวๆ ของท่านลูบไปที่ใบหน้าของพ่อและถามพ่อว่าอยากกินอะไร? ไม่ก็พูดเรื่องตลกให้พ่อฟังจนพ่ออดหัวเราะไม่ได้ ย่ามักจะบอกพ่อว่าอย่าห่วงแม่เลย แม่แข็งแรงดีอยู่ แม่จะอยู่จนเห็นหน้าเหลน จะเป็นคนพาเหลนไปเที่ยว

ไม่นานหลังจากนั้น พ่อก็จากพวกเราไปด้วยความสงบ…….

พวกเราต่างพากันร้องไห้ระงม และก็มีเพียงย่าเท่านั้นที่ไม่ร้องไห้เลย ย่าได้แต่นั่งนิ่งเหม่อมองไปที่ประตู ใครเรียกใครพูดด้วยท่านก็ไม่ขานไม่พูดตอบ

วันที่สอง ฉันจึงสังเกตว่าขอบตาของย่ามีรอยบวมช้ำ ย่าปล่อยผมกระเซิงไม่รวบมัดเหมือนเดิม และผมของย่าก็ไม่มีสีดำสักเส้น มันขาวโพลนไปหมดทั้งหัว ฉันรู้สักว่าวันนี้ย่าแก่กว่าเมื่อสองสามวันก่อนสักสิบปีได้ หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ย่าไม่ยอมกินอะไรเลยหลังจากพ่อเสียไป

หลังจากพ่อเสียได้หนึ่งเดือน สุขภาพของย่าทรุดโทรมไปมาก ท่านนอนอยู่บนเตียงและจับมือฉันไว้บอกว่า……

“ย่ามีนิทานจะเล่าให้ฟัง”……

จากนั้นย่าก็เล่าเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฉันฟังเมื่อก่อนหน้านั้น เรื่องแม่ช่วยลูกที่พลัดตกน้ำ เมื่อเล่าจบ ย่าก็มองไปที่หน้าต่าง พูดพึมพำออกมาคนเดียวว่า………..

 “แม่รักลูกดั่งสายน้ำยาวไกล แม่ไม่อยากให้ลูกจากไปด้วยความห่วงแม่นะลูกเอ๋ย”

ฉันร้องไห้ในสิ่งที่ย่าเพิ่งพูดไป นี่ย่าแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆที่ใจของย่าเจ็บปวดปานใดก็ไม่รู้ที่ลูกชายต้องมาป่วยด้วยโรคมะเร็ง

“ย่าคะ หนูขอโทษ…”

หลังจากพ่อเสียได้แปดเดือน คุณย่าก็จากพวกเราไปอย่างสงบ 

“ย่าคะ หนูขอโทษ” น้ำตาอาบแก้มเมื่อรู้ว่าย่าแกล้งทำแบบนี้เพื่อพ่อ!!!


“ย่าคะ หนูขอโทษ” น้ำตาอาบแก้มเมื่อรู้ว่าย่าแกล้งทำแบบนี้เพื่อพ่อ!!!

ขอบคุณข่าวจาก FB : Nusonbooks


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์