มีเชื้อ HIV / เลือดบวก คือเป็นโรคเอดส์แล้วใช่ไหม!??



มีสมาชิกเว็บพันทิปดอทคอมได้มาตั้งกระทู้เป็นคำถามว่า "มีเชื้อ HIV / เลือดบวก คือเป็นโรคเอดส์แล้วใช่มั้ยคะ" กระทู้นี้ถูกโพสต์โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 778046 โดยเจ้าของกระทู้ได้ตั้งคำถามพร้อมทั้งบอกอาการที่ตอนนี้ตัวเธอกำลังเป็นอยู่ว่า ..

"เราไม่สบาย อาเจียน และเป็นลมบ่อย ไปหาหมอ พบว่าเป็ยต่อมน้ำเหลืองอักเสบต้องรีบผ่าตัดด่วน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง พอวันนัดผ่า เราก็มานอนที่ รพ. หมอตรวจเลือดพอว่าเรามีเชื้อ HIV ไม่สามารถผ่าตัดได้ แล้วมีเชื้อหมายถึงว่าเราเป็นเอดส์แล้วใช่มั้ยคะ ต่อไปแล้วต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบล่ะ จะกลายเป็นมะเร็งด้วยหรือเปล่า ตอนนั้นไม่ได้ถามหมอ เพราะยังตกใจกับการติดเชื้อของตัวเองอยู่ กลัวพ่อแม่รู้ กลัวจะอายคน กลัวเพื่อนจะเริ่มหายไป กลัวไปหมดทุกอย่าง ใครมีประสบการณ์แบบเราบ้าง ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ตอนนี้เราไม่กล้าบอกใครเลยซักคน ยังรับตัวเองไม่ได้"

หลังจากที่เธอตั้งกระทู้นี้แล้วก็มีบรรดาสมาชิกพันทิปให้ความสนใจและตอบคำถามพร้อมทั้งหาข้อมูลให้เจ้าของกระทู้ ทั้งยังมีคนเข้ามาให้กำลังใจอย่างมาก Teenee.com ขอเป็นอีก 1 กำลังใจให้เจ้าของกระทู้ผ่านพ้นเรื่องราวนี้ไปให้ได้อย่งเข้มแข็งนะจ๊ะ สู้ๆ วันนี้จึงขอนำความรู้เรื่องโรคเอดส์มาให้ทุกคนได้ทราบได้เพิ่มเติมด้วย


มีเชื้อ HIV / เลือดบวก คือเป็นโรคเอดส์แล้วใช่ไหม!??


อะไรคือ HIV?

HIV มาจากคำว่า Human Immunodeficiency Virus และเป็นไวรัสที่ทำให้เกิด AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมคุ้มกันโรค เมื่อเวลาผ่านไป และปราศจากการรักษา HIVก็จะทำลายการป้องกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ร่างกายอ่อนแอ นำไปสู่การติดเชื้อต่างๆมากมาย และ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม การอยู่โดยปราศจากการรักษา ก็มีหลายคนที่อยู่กับเชื้อ HIV โดยไม่มีอาการต่างๆ มีหลายคนที่มีปัญหาสุขภาพเล็กน้อย ขณะที่มีหลายคนที่มีปัญหาสุขภาพอย่างมากซึ่งมาจาก AIDS


อะไรคือ AIDS?

AIDS คือ ระยะช่วงปลายของเชื้อ HIV เมื่อมีอาการที่ต้องทำการวินิจฉัยโรค AIDS, HIV ก็ได้ทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอย่างเสียหายยับเยิน มีการพบบ่อย,ที่ผู้ที่ต้องใช้ชีวิตโดยมีเชื้อ AIDS จะถูกคุกคามชีวิตจากการติดเชื้อต่างๆ หรือ มะเร็ง โดยปกติแล้วเมื่อติดเชื้อHIV จะใช้เวลาถึง 10 ปี ในการเข้าสู่ AIDS อย่างไรก็ตาม ยาต้าน HIV สามารถขัดขวางการทำลายระบบภูมคุ้มกันจาก HIV ได้ และทำให้ผู้ติดเชื้อมีอายุยืนขึ้น ด้วยการรักษาที่เหมาะสม มีหลายคนที่มีชีวิตอยู่กับเชื้อHIVโดยอาจไม่พัฒนาอาการไปสู่AIDSเลย และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ผลการศึกษาให้ความเห็นว่าหากเริ่มการรักษาโดยเร็วตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ ก็จะมีความหมายอย่างมากในความสามารถในการปรับปรุงการรักษาระยะยาวให้ประสบผลสำเร็จ


 


มีเชื้อ HIV / เลือดบวก คือเป็นโรคเอดส์แล้วใช่ไหม!??



อะไรคือความแตกต่างระหว่าง HIV และ AIDS?

HIV คือ ไวรัส ที่ก่อให้เกิด โรค AIDS .
H - Human : เพราะ ไวรัสชนิดนี้สามารถติดเชื้อได้ในมนุษย์เท่านั้น
I - Immuno-deficiency: : เพราะ ผลของไวรัสก่อให้เกิดความบกพร่อง, หรือ ความล้มเหลวในการทำงานอย่างสิ้นเชิง ภายในระบบภูมคุ้มกันของร่างกาย
V - Virus: : เพราะ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้คือไวรัส ซึ่งหมายความว่า หนึ่งในลักษณะพิเศษของมันคือ ไม่สามารถแพร่พันธ์ด้วยตัวของมันเอง มันสามารถแพร่พันธ์โดยการยึดครองโครงสร้างของเซลล์ในมนุษย์

A - Acquired : เพราะ มีเงื่อนไขว่า แต่ละรายต้องได้รับเชื้อมา หรือ ติดเชื้อ; ไม่ใช่การส่งต่อด้วยกลไกทางพันธุกรรม
I - Immune: : เพราะ มันมีผลกระทบกับระบบภูมคุ้มกันของมนุษย์ ส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งโดยปกติจะทำงานต่อสู้กับเชื้อโรค ตัวอย่างเช่น แบคทีเรีย และ ไวรัส
D - Deficiency: : เพราะ มันทำให้ระบบภูมคุ้มกันบกพร่อง (ทำให้ระบบภูมคุ้มกันไม่ทำงานอย่างเหมาะสม
S - Syndrome: : เพราะ ใครก็ตามที่ติดเชื้อAIDS อาจจะประสบกับโรคต่างๆมากมาย และ โอกาสติดเชื้อ

HIV ติดต่ออย่างไร?

AIDS HIVสามารถติดต่อจากผู้ติดเชื้อสู่บุคคลอื่นโดย:

เลือด (รวมถึงเลือดประจำเดือน)
น้ำอสุจิ
น้ำคัดหลั่งในช่องคลอด
น้ำนม

เลือดจะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสสูงที่สุด ตามมาด้วย น้ำอสุจิ ตามด้วย น้ำคัดหลั่งในช่องคลอด ตามด้วย น้ำนม
กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการแพร่เชื้อ HIV:

AIDS โรคเอดส์ที่เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

ได้รับเชื้อโดยตรงจากเลือด, โดยเฉพาะการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

การติดเชื้อจากการถ่ายเลือด, โดยเป็นไปได้จากอุบัติเหตุการจัดการด้านการดูแลรักษาสุขภาพ หรือ ผลิตผลของเลือดที่มีเชื้อ, แม้ว่าจะเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นในสหรัฐ

จากแม่ สู่ ลูก (ก่อน หรือ ระหว่างการเกิด, หรือ เกิดจากการให้นมแม่)

การร่วมเพศ (ช่องคลอด และ ทวารหนัก)

ในอวัยวะสืบพันธ์ และ ช่องทวารหนัก, HIV จะทำให้เยื่อบุเมือกติดเชื้อโดยตรง หรือ ส่งผ่านบาดแผลและความบอบช้ำที่เกิดจากการร่วมเพศ (มีบ่อยที่เกิดจากการไม่ได้สังเกต) การร่วมเพศทางทวารหนักและช่องคลอดเป็นการปฏิบัติที่มีความเสี่ยงสูง

การมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้ปาก (ปาก - อวัยวะเพศชาย, ปาก - ช่องคลอด)
ปาก มิได้เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของ HIV (ใน น้ำอสุจิ, ของเหลวในช่องคลอด หรือ เลือด), หมายความว่า ความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อผ่าน คอ, ฟัน, เยื่อบุผิวในปาก นั้น ต่ำกว่า การแพร่เชื้อผ่าน ช่องคลอด และ เยื่อบุผิวทวารหนัก กระนั้นก็ตาม ได้มีข้อมูลเป็นเอกสารระบุว่ามีการติดเชื้อ HIV โดยแพร่ทางปาก, ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพูดได้ว่า การได้รับเชื้อ HIV จากน้ำอสุจิ, ของเหลวในช่องคลอด หรือ เลือด โดยผ่านทางปากจะไม่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม, การมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้ปากก็ถูกพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติที่มีความเสี่ยงต่ำ

การใช้เข็มร่วมกัน
เข็มฉีดยาสามารถส่งผ่านเลือดจากกระแสเลือดบุคคลหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยตรง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีประสิทธิภาพมากในการถ่ายทอดเลือดที่มีเชื้อไวรัส การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันจึงถูกพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติที่มีความเสี่ยงสูง

แม่สู่ลูก
การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกนับว่าเกิดขึ้นยากในสหรัฐอเมริกา และ ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ทั้งนี้เพราะว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ผู้ซึ่งมีเชื้อ HIV จะได้รับยาต้านเพื่อป้องกันทารกในครรภ์จากการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่มารดาผู้ติดเชื้อHIV จะส่งผ่านเชื้อไวรัสโดยตรงก่อน หรือ ระหว่างการให้กำเนิดทารก หรือโดยการให้นมบุตร น้ำนมมารดาที่มีเชื้อไวรัส HIV จำนวนเล็กน้อยของน้ำนมมารดาไม่เป็นต้นเหตุที่มีสาระสำคัญที่จะทำให้ผู้ใหญ่ติดเชื้อ แต่มีความหมายอย่างยิ่งในการแพร่เชื้อสู่ทารก
รายการดังต่อไปนี้ "เป็นของเหลวในร่างกาย" ที่ไม่ติดเชื้อ:

น้ำลาย
น้ำตา
เหงื่อ
อุจจาระ
ปัสสาวะ


มีเชื้อ HIV / เลือดบวก คือเป็นโรคเอดส์แล้วใช่ไหม!??


ขอบคุณที่มา ::: Pantip


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์