สูดหรือดูด ก็เสี่ยงมะเร็งปอด

สูดหรือดูด ก็เสี่ยงมะเร็งปอด


สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้สูบบุหรี่คือการไม่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งปอด เพราะกว่าจะรู้ส่วนใหญ่มะเร็งได้ลุกลามแพร่กระจายไปแล้ว

เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ว่า "การสูบบุหรี่" มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 20-30 เท่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนและระยะเวลาที่สูบบุหรี่ เนื่องจากในบุหรี่มีสารพิษนิโคติน ทาร์ และสารก่อมะเร็งอื่นๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่จำเป็นต้องสูดควันบุหรี่จากผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือในบริเวณอับที่มีควันบุหรี่อยู่ ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าคนปรกติถึง 1.2-1.5 เท่า

ปัจจุบันการตรวจและการรักษาโรคมะเร็งปอดมีความก้าวหน้าอย่างมาก ดังเช่น

1.การวินิจฉัยในระยะแรกเริ่ม ด้วยการตรวจเอกซเรย์ปอดและเสมหะเพื่อหาเซลล์มะเร็งในผู้ที่มีความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ แต่หากพบโรคมะเร็งในระยะแรกเริ่มจะทำให้ได้ผลการรักษาที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีความพยายามใช้การเอกซเรย์ที่มีความละเอียดสูงร่วมกับการย้อมเสมหะด้วยวิธีพิเศษ ทำให้เห็นเซลล์ผิดปรกติได้ง่ายขึ้น ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีราคาค่าตรวจสูง

2.การผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน เหมาะสำหรับการรักษามะเร็งที่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ขั้วปอด หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ช่วยให้เนื้อปอดบริเวณโดยรอบไม่ถูกทำลาย บาดแผลเล็ก และผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว

3.ยาเคมีบำบัด มีการค้นพบยาชนิดใหม่ๆ ที่มีผลข้างเคียงน้อยลงและได้ผลต่อโรคมากขึ้น รวมถึงการคิดค้นยาเคมีบำบัดชนิดเม็ด ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกมากขึ้น

4.การฉายรังสี ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการฉายรังสีที่ทำให้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีในขนาดที่สูงขึ้น โดยที่อวัยวะรอบข้างไม่ได้รับผลกระทบจากรังสีชนิดนั้นๆ ส่งผลให้การรักษาได้ชนิดนั้นๆ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีขึ้น เพราะผู้ป่วยไม่มี อาการข้างเคียง

5.การรักษาแบบประคับประคอง เป็นวิธีที่พยายามช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปรกติที่สุด โดยอาศัยการควบคุมอาการต่างๆ ของโรค เช่น อาการเหนื่อย ไอ จนถึงขั้นไอเป็นเลือด ซึ่งทำได้โดยการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ให้ดีที่สุด

ที่กล่าวมานี้แม้วิทยาการทางการแพทย์จะช่วยรักษาโรคมะเร็งปอดได้ แต่ยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคด้วยการหยุดสูบบุหรี่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบุคคลกลุ่มนี้จะสามารถหยุดสูบบุหรี่ได้ แต่อัตราการเกิดโรคมะเร็งปอดยังสูงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ในอดีต ความยังสูงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ในอดีต ความเสี่ยงนี้จะลดลงเป็นปรกติหลังหยุดสูบบุหรี่แล้ว 10ปี

ดังนั้น การรณรงค์ให้มีการตรวจร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงและผู้ที่มีความผิดปรกติทางการหายใจ เช่น มีอาการไอเรื้อรัง ไอจนเป็นเลือด จะทำให้แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดในระยะแรกเริ่มได้ ซึ่งจะทำให้ผลการรักษาดีขึ้น


ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข 

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์