แค่ปรับนาฬิกาชีวิตสักนิด ก็พิชิตน้ำหนักได้


หลายคนคงรู้สึกท้อกับการลดน้ำหนัก เพราะออกกำลังกายก็แล้ว ลดแป้งก็แล้ว แต่น้ำหนักไม่ลดอย่างที่ใจต้องการสักที แต่เอ…ทำถึงขนาดนี้น้ำหนักไม่ลดก็อาจจะเป็นเพราะปัจจัยอื่นอย่างกิจวัตรประจำวัน และพฤติกรรมเคยชินแบบเดิม ๆ หรือเปล่านะ ถ้าอย่างนั้นมาลองเปลี่ยนตารางชีวิตตามนี้ดูสักทีดีไหมคะ



06.45 น. เริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกาย

ตื่นแต่เช้าตรู่แล้วมาออกกำลังกาย จะทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น และช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึม ส่งผลให้ร่างกายเบิร์นแคลอรี่ได้ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่นได้ตลอดทั้งวันอีกด้วย ดังนั้น ตื่นแต่เช้าแล้วออกวิ่งจ๊อกกิ้งในสวนหน้าหมู่บ้าน หรือบริเวณรอบ ๆ บ้าน เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ในช่วงเช้าตรู่ก็ดีไม่น้อยนะคะ

07.30 น. รับอาหารมื้อแรก

หลังจากปล่อยให้ท้องว่างนาน 10 ชั่วโมงตลอดทั้งคืน ร่างกายควรจะได้รับอาหารเช้าในช่วงเวลา 07.30 น. ซึ่งถือเป็นเวลาที่เหมาะสมของการเริ่มต้นระบบเมตาบอลิซึม และควรเน้นกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 25% ร่วมกับอาหารประเภทไข่อย่างจัดเต็ม เพราะสารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์กับร่างกายและให้พลังงานได้อย่างดี แต่ก็ควรระวังไม่ให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตและแคลอรี่เกิน 25% ในมื้อเช้า และ 5% ในมื้อระหว่างวัน โดยกินขนมปังโฮลเกรน 1 แผ่นทาด้วยเนยถั่วหรือผักโขม แทนที่จะทาด้วยแยมหรือเนย นม น้ำตาล

นอกจากนี้ เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือ ให้กินมื้อเช้าอย่างราชา กลางวันกินอย่างเจ้าชาย มื้อเย็นกินเหมือนยาจก และกินขนมระหว่างวันเหมือนเจ้าหญิงองค์น้อย ๆ ทำตามนี้ก็จะช่วยจำกัดปริมาณแคลอรี่ส่วนเกินได้แล้วล่ะ


09.30 น. ดื่มชาแทนกาแฟลาเต้

หากปกตินิยมดื่มกาแฟสตรีมนมหนานุ่มอย่างลาเต้ในช่วงเริ่มต้นทำงาน ก็ลองปรับเปลี่ยนมาดื่มชาร้อนสักแก้ว ตามคำแนะนำของนักธรรมชาติบำบัดดีกว่า เพราะช่วยลดแคลอรี่ได้เยอะ และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ แถมทำให้ร่างกายอยากของหวานได้น้อยลงอีกด้วย

11.00 น. หลีกไกลน้ำผลไม้

ในช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเที่ยง ถ้าร่างกายอยากดื่มน้ำผลไม้ นักโภชนาการก็แนะนำว่า ให้เปลี่ยนใจหันมากินผลไม้สด ๆ แทนดีกว่า เพราะให้แคลอรี่ที่น้อยกว่า แถมร่างกายยังได้รับไฟเบอร์จากกากผลไม้ได้มากกว่า ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ส่งผลให้กินอะไรได้น้อยลง

นอกจากนี้ นักโภชนาการยังเผยอีกด้วยว่า น้ำแอปเปิล 1 แก้ว ให้แคลอรี่เทียบเท่าแอปเปิลสด ๆ ถึง 3 ลูกเลยทีเดียว และหากดื่มเป็นประจำทุกวัน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 50% ฉะนั้นแค่เปลี่ยนมากินผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยกว่าที่ควรและช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น แล้วล่ะ

13.00 น. เอ็นจอยมื้อกลางวัน

ถ้าเป็นไปได้ลองขยับเวลาอาหารมื้อกลางวันมาเป็นเวลาบ่ายโมงตรงดูบ้างก็ดี เพราะจะทำให้คุณอิ่มได้นานไปตลอดทั้งบ่าย มื้อเย็นก็จะได้กินได้น้อยลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาหารมื้อกลางวันก็ควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้พอสมควร อย่างอาหารที่เต็มไปด้วยโปรตีน เช่น ผัดผักใส่เนื้อสัตว์ ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ และอย่าลืมแบ่งข้าวกินแค่ครึ่งเดียว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับแคลอรี่มากจนเกินไปด้วยนะจ๊ะ


15.00 น. เมินเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ทุกชนิด

เครื่องดื่มประเภทซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำอัดลม ทั้งชนิดปกติ และชนิดไม่มีน้ำตาล น้ำผลไม้ น้ำหวาน ชา กาแฟ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องดื่มที่ถ้ากินในช่วงบ่ายกลาง ๆ ของวัน จะยิ่งทำให้คุณรู้สึกอยากกินขนมหวาน ๆ มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายได้รับแคลอรี่เกินปริมาณได้ง่าย ๆ ดังนั้น หากไม่อยากอ้วนฉุ ก็เปลี่ยนมากินอัลมอนด์อบแห้ง ผลไม้สด หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำเป็นของว่างยามบ่ายสิคะ

16.00 น. ยืดเส้นยืดสายยามเย็น

จากการวิจัยของวิทยาลัยแพทย์ทรวงอกอเมริกาพบว่า ในช่วงเวลา 16.00–17.00 น. เป็นช่วงที่ปอดทำงานได้เต็มที่กว่าช่วงเวลาอื่นถึง 20% ดังนั้น การออกกำลังกายเบา ๆ พร้อม ๆ กับสูดอากาศบริสุทธิ์ในช่วงนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับนักกีฬาที่ต้องการให้ ร่างกายแข็งแรงคงทนกว่าเดิม คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือคนที่รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอ และเหนื่อยง่าย


19.00 น. ดื่มด่ำหลังอาหารเย็น

อย่าเพิ่งคิดว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีโทษกับร่างกายเสมอไป หากกินในปริมาณที่พอเหมาะ ขอย้ำว่าปริมาณที่พอเหมาะนะคะ เพราะมีผลวิจัยหลายต่อหลายผลวิจัยที่บอกว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายทุกวัน จะช่วยลดความดันในหลอดเลือดแดง และช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย

แต่ ก็ควรเลือกชนิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะดื่มให้ดี โดยควรเลือกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์และแคลอรี่ที่น้อยสลับ สับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน เช่น ไวน์ที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 8-12% เบียร์ที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 5% หรือสุราที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 40% ทั้งหมดนี้ดื่มในปริมาณเล็กน้อยพอกล้อมแกล้มแค่ไม่ถึงแก้วก็พอนะคะ

 20.30 น. หยุดกินทุกสิ่งอย่าง

โดยปกติแล้วหลังเวลา 18.30 น. เราก็ไม่ควรกินอาหารที่หนักท้อง ยกเว้นเครื่องดื่มเบา ๆ แล้ว แต่ ถ้าจะให้ดีต้องหยุดกินทุกสิ่งอย่างตั้งแต่เวลา 20.30 เป็นต้นไป เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานน้อยลง เพื่อให้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น หากอยากลดน้ำหนักได้อย่างที่ใจต้องการ ก็พยายามยับยั้งอาการอยากอาหารกลางดึกให้ได้ จะใช้วิธีล้างและเก็บอาหารทุกอย่างเข้าตู้เย็นอย่างมิดชิด หรือจะใช้วิธีแปรงฟันให้สะอาดก็ดี เพราะนักจิตวิทยาบอกว่ามันช่วยให้อยากอาหารลดลงได้ดีทีเดียว

ถ้าวิธีอื่นที่ใช้ลดน้ำหนักอยู่ไม่ค่อยได้ผล ก็ลองนำวิธีที่เราแนะนำนี้ไปใช้ดูสักครั้งก็ได้นะคะ ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันจากที่เคยสักนิด ก็อาจจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยคาดคิดก็ได้


แค่ปรับนาฬิกาชีวิตสักนิด ก็พิชิตน้ำหนักได้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์