เมื่อต้องเผชิญกับความกลัว...(หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

เมื่อต้องเผชิญกับความกลัว...(หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)


หลังจากที่ศึกษากับหลวงปู่มั่นเป็นเวลาพอสมควร ต่างก็แยกย้าย
กันไปตามเส้นทางของแต่ละท่าน ส่วนหลวงปู่ฝั้นท่านได้ออกเดิน
ธุดงค์ร่วมกับสามเณรพรหม สุวรรณรงค์ ผู้เป็นหลานของหลวงปู่
ฝั้นนั่นเอง...

ครั้งนั้นหลวงปู่ฝั้นและสามเณรพรหม ตั้งใจว่าจะเดินไปธุดงค์ไปที่
ถ้ำพระบท จังหวัดอุดรฯ ระหว่างที่เดินทางไปนั้นหลวงปู่ฝั้นได้ยิน
เรื่องราวความน่ากลัวที่ถ้ำพระบทที่ชาวบ้านต่างร่ำลือกันว่า ที่นั่น
..."ผีดุมาก!!". ผีตนนี้อาศัยอยู่ที่ต้นตะเคียนที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้า
ปากถ้ำและเคยมีประวัติว่าเคยมีผู้ที่เข้าไปปฏิบัติภาวนาก็ถูกผีหลอก
จนอยู่ไม่ได้ต้องโกยกันมาแล้ว...

หลวงปู่ฝั้นได้ฟังดังนั้นก็ไม่เกิดความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าว
ว่าตนเองนั้นตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยประสบพบเจอกับภูตผีปีศาจเลย
สักครั้ง แต่ถึงกระนั้นท่านก็มิได้ลบหลู่ดูหมิ่นแต่อย่างใด...

วันนั้นหลวงปู่ฝั้นกับสามเณรพรหมได้เดินทางไปถึงถ้ำพระบทเป็นเวลา
เย็นแล้ว เมื่อเดินทางไปถึงต่างก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดและก็
จัดสถานที่พัก เมื่อเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายไปทำกิจส่วนตัวจนกระทั่ง
เวลาทำสมาธิ หลวงปู่ฝั้นและสามเณรพรหมก็ปฏิบัติตามกิจวัตรประ-
จำวัน

คืนแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรมารบกวนแต่พอถึงคืนที่สอง ก็ได้เกิดเสียง
ผิดปรกติดังขึ้นเป็นระยะๆ เสียงนั้นคล้ายกับว่าเป็นเสียงสั่นของต้นไม้
เมื่อหลวงปู่ฝั้นได้ยินครั้งแรกนั้นท่านก็เกิดอาการขนลุกซู่. และเริ่มมี
อาการกลัวเกิดขึ้น กล่าวถึงสามเณรพรหมก็คงมีอาการไม่ต่างจาก
หลวงปู่ฝั้นเช่นกัน แต่ด้วยเป็นผู้ที่มีสติเข้มแข็งท่านทั้งสองได้ภาวนา
ให้จิตสงบลงจนเกิดความกล้าขึ้นมาแทนที่...

หลวงปู่ฝั้นได้ชักชวนสามเณรพรหมให้ออกไปดูว่าเสียงที่เกิดขึ้นเป็น
เหตุมาจากอะไร และเมื่อทั้งสองออกไปดูเหตุการณ์ก็ได้พบความเป็น
จริงว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงแห่งความกลัวนั้นคืออะไร...

ในวันนั้นเป็นคืนเดือนหงาย แสงสว่างสาดส่องสว่างไสว หลวงปู่ฝั้น
เมื่อเดินออกมานอกถ้ำและสังเกตุดูที่ต้นตะเคียนใหญ่ ก็ได้เห็นบ่าง
ตัวหนึ่งมีรูปร่างขนาดใหญ่เท่าแมวถึงสามตัว บินเขย่ากิ่งและโหนเถา-
วิลย์ต้นตะเคียนเล่นอย่างสนุกสนาน บินเกาะกิ่งโน้นทีกิ่งนี้ที มองแล้ว
เป็นที่น่าสนุกสนานตามประสาสัตว์ ลักษณะคล้ายกับว่ามีใครมาเขย่า
ต้นไม้เช่นนั้น เหตุการณ์นี้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดก็จะเกิดความกลัว
ขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งบางท่านที่ไม่ได้เคยฝึกจิตภาวนาด้วยแล้ว
ยิ่งมีจิตกระเจิดกระเจิงไปตามเหตุการณ์อย่างแน่นอน

เมื่อหลวงปู่ฝั้นและสามเณรพรหม ได้รู้เห็นความจริงแล้วทั้งสองก็ได้
คลายความกังวล และยังคงยึดปฏิบัติตามเดิมจนครบ15 วันทั้งสอง
จึงออกเดินทางธุดงค์ต่อไป โดยตั้งใจจะข้ามฝั่งไปที่ภูลาว แต่สุดท้าย
ก็มีเหตุทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินธุดงค์ โดยการเดินเลียบแม่น้ำ
โขงขึ้นไปทางเหนือ....

ตลอดทั้งสองข้างทางเดินที่เป็นทางเล็กๆ ปรากฏรอยเท้าของเสือและ
ร่องรอยเล็บตะกรุยของเสือ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเสียงร้องคำรามที่ดัง
กึกก้องของเสือที่ฟังดูแล้ว รู้สึกกลัวจนเสียวสันหลังวูบไปหมด แต่ใน
เวลานั้นหลวงปู่ฝั้นท่านได้นำความกลัวข่มอยู่ภายใน ภายในหัวท่าน
คิดถึงสุภาษิตของชาวอีสานขึ้นมาบทหนึ่งว่า..."เสือกินโค กินควาย
เพิ้นช้าใกล้ เสือกินอ้ายเพิ้นช้าไกล"...ซึ่งแปลความหมายว่า..."หาก
เสือกินโค หรือควาย ก็จะได้ยินผู้คนเล่าลือพูดคุยกันอยู่แค่นั้นไม่กว้าง
ไกล แต่หากเสือกินคนหรือกินพระ ก็จะมีแต่ผู้คนเล่าลือพูดคุยกันไป
ไกล"....

คำภาษิตนี้ไม่ใช่เพียงคำพูดที่เอ่ยออกมาเฉยๆ หากแต่เป็นคำพูดที่เป็น
การให้กำลังใจของหลวงปู่ฝั้นนั่นเอง เพียงเท่านั้นหลวงปู่ฝั้นและสาม-
เณรพรหมก็เกิดความกล้าขึ้นมาทันที...
เมื่อทั้งสองมีกำลังใจขึ้นมาแล้วก็เดินทางต่อ ด้วยไม่มีความวิตกกังวล
ต่ออันตรายใดๆ กระทั่งได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่มั่น สมดั่ง
ที่ได้ตั้งใจไว้...ฯ

~ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์~

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์