แก้ปัญหาด้วยปัญญา

แก้ปัญหาด้วยปัญญา


"เราต้องสร้างปัญญาให้แก่ตนเองจึงจะแก้ปัญหาได้"
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมะที่สอนเราให้นำมาใช้แก้ปัญหาชีวิต
นั้น พระองค์ต้องบำเพ็ญเพียรมามาก ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ทั้ง 18
สาขา จบชั้นสูงสุดที่มีการสอนในสมัยนั้นก็ยังไม่พบคำตอบ

พระพุทธเจ้า ทรงค้นหาวิชาที่ไม่มีใครสอนคือ...
1. วิชาแก้ปัญหาชีวิต
2. วิชาบำบัดทุกข์ให้เกิดสุข
วิชาการทั้งหลายที่่เราเรียนมา แก้ปัญหาไม่ได้ทั้งนั้น เพราะสร้างแต่
ความรู้แต่ไม่ได้สร้างปัญญา...ต้องสร้างปัญญาให้แก่ตนเองจึงจะแก้
ปัญหาได้

การที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชาก็เพื่อต้องการหาวิชา ต้องการ
สร้างปัญญามาแก้ปัญหาให้ได้ ทรงคิดว่าจะหาวิชาอันใดมาแก้ปัญหา
เกิด แก่ เจ็บ ตายแม้พระเจ้าสุทโธทนะพยายามสร้างปราสาทสามฤดู
และพยายามหากามคุณมาปรนเปรอให้มากมาย ห้ามไม่ให้เจ้าชาย
เสด็จออกไปนอกพระนคร พยายามหาแต่เฉพาะหนุ่มสาวเข้ามาอยู่ใน
วัง ไม่ให้พบเห็นสิ่งเหล่านั้น จากการที่เทวทูตบันดาลให้พระองค์ทอด
พระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ทรงผนวชบวชนานถึง 6 ปี

พระพุทธเจ้าทรงลองทุกอย่างแม้กระทั่งการอดอาหาร ทรงทรมานพระ
วรกายจนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จึงรู้ว่าไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง....
ครั้นเมื่อทรงได้ยินพิณสามสาย ที่สายหนึ่งตึงไป อีกสายหนึ่งหย่อนไป
และมีสายหนึ่งที่พอดี จึงถือเอามัชฌิมาปฏิปทาเดินสายกลาง พอดี...
พอดี ไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป...

ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงหันกลับมาเสวยพระกายาหารและบำเพ็ญเพียรจน
ตรัสรู้วิธีแก้ทุกข์ ในครั้งนั้นพวกปัญจวัคคีย์คิดว่าทรงละความเพียรแล้ว
จึงหนีไปก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้....

การเจริญพระกรรมฐาน ต้องการให้มีปัญญาสำหรับแก้ปัญหา ปัญญานี้
ถ้ามีมากเพียงพอ....เปรียบเหมือนปรอทวัดคนได้ จะสามารถบอกได้ว่า
ใครมีนิสัยอย่างไรได้ชัดเจนมาก เช่นเจอคนคนหนึ่ง เรามองด้วยปัญญา
ก็รู้ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี ชอบพูดมาก พูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อเรารู้แล้ว
เราก็นิ่งเสีย...

การเจริญพระกรรมฐานนี้ ทำให้จิตเรามั่นคง จะเปลี่ยนนิสัยทันที วิสัยทัศน์
กว้างไกล ไม่ใช่มานั่งเจริญพระกรรมฐานเพื่อจะไปสวรรค์ นิพพาน บางคน
นั่งแล้วทำปากขมุบขมิบ พอสอบอารมณ์ก็บอกว่า....."นานแล้วที่ไม่ได้เจอ
พระพุทธเจ้า ท่านชวนคุยเสียตั้งนาน พระพุทธเจ้าถามว่าค้าขายเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจตกก็ขอให้พยายามต่อไป แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกคาถาให้...."
อย่างนี้เพี้ยนแน่นอน.... ทำอะไรให้พอดี อย่าให้เกิน อย่าให้มากเกินไป อย่า
ให้น้อยเกินไป...

ถ้าสติกับจิตอยู่ด้วยกัน จะมีปัญญาและสามารถแก้ไขปัญหาได้ในปัจจุบัน
ทำให้เคยชิน พอเคยชินแล้ว เห็นใครจะเกิดรู้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องภาวนา
ว่าเห็นหนอ ตั้งแต่ศีรษะลงปลายเท้า ปลายเท้าถึงศีรษะ แล้วจะมาบอกเราที่
ลิ้นปี่ว่านิสัยคนนี้เป็นอย่างไร...

เวลารับประทานอาหาร คนไม่ดีกับคนดีรับประทานข้าวร่วมกันได้ ทำงาน
ร่วมกันได้ แต่จะเอาจิตไปรวมกับคนเลวนั้นไม่ได้ รับประทานข้าวรวมกันได้
หมายความว่า แต่ละคนต่างคนต่างเติมกันเองได้ เราก็อย่าไปเติมรสแบบ
เขา เราก็เติมรสแบบของเรา คบกันได้ แต่จะมาผสมกันไม่ได้....

คนที่ฉลาด จะใช้คนได้ทุกประเภท คนดื้อบางทีเราพูดด้วย ปัญญาใช้งาน
ได้ดร ไม่มีใครชอบให้ใครดุด่า ต้องพูดจาให้ไพเราะ...
คนหัวดื้อหัวแข็งต้องพยายามยกย่องให้เกียรติเขา เขาก็จะอ่อนตาม เหมือน
เช่นพระพุทธเจ้า มารจะทำร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเฉย มารจะทำ
อะไรก็ทำไป แต่ท่านทรงเมตตาอย่างเดียว ทำให้มารต้องอ่อนน้อม จึงตั้ง...
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต...อ่อนน้อมต่อพระพุทธเจ้า...

พระกรรมฐานทำให้ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และจะไม่บ่น ไม่จู้จี้ คนที่บ่นจู้จี้ลูก
ไม่มาหา หลานไม่มาสู่แล้วจะว้าเหว่ ถ้าลูกมาหาหลานมาสู่ทำให้ปู่ย่าตายาย
อากงอาม้าอายุยืน อิ่มอกอิ่มใจอารมณ์ดีอายุยืน โรคไม่แทรกซ้อน จะทำให้
ไม่โมโหง่าย คนที่โมโหง่ายจะอายุไม่ยืน.. มีโรคแทรกซ้อน ขอฝากไว้...ณ

~พระธรรมสิงหาบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)~

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์