ภ า ว น า ธ ร ร ม





ชีวิตทั้งหลายในห้วงวัฏสงสารนี้ หากยังเวียนว่ายอยู่ในความมืดมน ชีวิตนั้นย่อมต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนานราวกับไม่มีวันจบสิ้น

ใช่ว่าทุกชีวิตจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะตราบใดที่พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงปรากฏอยู่ ตราบนั้นย่อมมีผู้ได้โอกาสในการสร้างสมบารมี ด้วยความปรารถนาที่จะไปให้ถึงวันแห่งการบรรลุธรรมอย่างแน่นอน

แต่ใครบ้างที่จะสามารถไปถึงวันนั้นได้ ตัวเราเองจะมีโอกาสแค่ไหน และอีกยาวนานเพียงใด กว่าที่เราจะไปถึงวันนั้น คำถามเหล่านี้อาจหาคำตอบได้จากเรื่องราวของชีวิตหนึ่งในอดีตกาล

ชีวิตนั้น เป็นเพียงนกแขกเต้าตัวหนึ่ง ซึ่งนักกายกรรมได้นำมาเลี้ยง และสอนให้พูด แล้วพาออกตระเวนแสดงตามเมืองต่างๆ

ครั้งหนึ่ง นักกายกรรมได้ไปพักอาศัยที่สำนักของนางภิกษุณี อนิจจา! เขาได้ลืมนกแขกเต้าไว้ ณ ที่นั้น



เมื่อสามเณรีได้มาพบนกแขกเต้า นางดีใจมาก รีบนำนกแขกเต้ามาเลี้ยงไว้ที่กุฏิ แล้วตั้งชื่อให้ว่า “พุทธรักขิต”

อยู่มาวันหนึ่ง นกพุทธรักขิตได้บินไปจับลงเบื้องหน้าพระเถรี พระเถรีจึงทักว่า

“เจ้าสบายดีหรือ พุทธรักขิต”

“สบายดีขอรับ พระแม่เจ้า”

“เจ้ามาอยู่ในสำนักที่มีการเจริญภาวนา เจ้าก็ควรที่จะบริกรรมภาวนาสักบทหนึ่งเถิด เอา

บทง่ายๆ ที่เหมาะกับเจ้า คือบทว่า อัฏฐิ อัฏฐิ เท่านี้ก็พอ เจ้าจงหมั่นภาวนาให้ขึ้นใจนะ” แล้วพระเถรีก็อธิบายรายละเอียดต่อไปว่า

“พุทธรักขิต เจ้าจงพิจารณาดูร่างกายที่ มีกระดูกเป็นดังเรือนพัก มีเนื้อหนังห่อหุ้มอยู่ภายในนั้นเต็มไปด้วยของโสโครก เหมือนหม้อใส่มูตรคูถที่เน่าเหม็น แต่ภายนอกงดงามน่า น่าชม เจ้าจงพิจารณาดูตามนี้ แล้วหมั่นภาวนาว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่าได้ประมาท ”

พุทธรักขิตรับคำพระเถรี ด้วยความเคารพ แล้วตั้งใจภาวนาธรรมนั้น จะไปไหนก็ภาวนาอยู่เสมอมิได้ขาดเลย

วันหนึ่ง นกพุทธรักขิตจับอยู่ที่ข้างบันได แผ่หาง กางปีก อย่างเบิกบาน พลางภาวนาว่า “อัฏฐิ อัฏฐิ อัฏฐิ” ไปเรื่อยๆ

ขณะนั้น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งตรงเข้าโฉบนกพุทธรักขิตไป หมายจะกินเป็นอาหาร สามเณรีที่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รีบจับฉวยสิ่งของที่พอหาได้ ขว้างปาเหยี่ยว เพื่อจะให้ปล่อยนกนั้น

เหยี่ยวตกใจกลัวจึงปล่อยนกแขกเต้า แล้วรีบบินหนีไป

สามเณรี ทั้งหลาย จึงนำนกมาพบพระเถรี พระเถรีจึงถามว่า

“พุทธรักขิต เมื่อเจ้าถูกเหยี่ยวโฉบจับไป เจ้าคิดอะไรบ้าง”

นกตอบว่า “มิได้คิดเรื่องอื่นเลย ได้แต่ภานาว่า อัฏฐิ อัฏฐิ (กองกระดูกจับเอากระดูกไป) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นขอรับ ”

พระเถรีก็ชื่นชม พร้อมกับแนะนำให้หมั่นภาวนาไป จักได้เป็นบุญกุศล และเป็นวาสนาติดตัวไปในภพเบื้องหน้า

ต่อมาเมื่อนกพุทธรักขิตตายไป ด้วยใจที่เป็นกุศลจดจ่อต่อการภาวนา ทำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลมั่งคั่งแห่งเมืองอนุราธบุรี ประเทศศรีลังกา

ครั้นเจริญวัยขึ้น วันหนึ่งได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีศีลาจารวัตรงดงาม ก็รู้สึกศรัทธา ด้วยเหตุที่คุ้นเคยกับนักบวชมาก่อน ทำให้ในชาตินี้ เกิดมีใจรักในการบวชทันที จึงลาบิดามารดาไปบวช แล้วเจริญภาวนาตามที่พระอุปัชฌาย์สั่งสอน ด้วยอานิสงส์จากการสั่งสมในอดีต พอเจริญภาวนาไปถึงบทว่า “อัฏฐิ อัฏฐิ” รู้สึกถูกอัธยาศัยยิ่งนัก จึงได้เจริญภาวนา โดยยึดเอากรรมฐานข้อนี้เป็นอารมณ์อยู่เสมอ

วันหนึ่งท่านเดินทางไปในเมือง ระหว่างทางมองเห็นหญิงคนหนึ่งผู้ทะเลาะกับสามี แล้วเดินหนีออกมา ด้วยอำนาจภาวนาธรรมที่เคยสั่งสมมาดีแล้ว พอท่านได้เห็นฟันของหญิงนั้น เห็นความไม่งามของกระดูก ก็เกิดอัฏฐิกรรมฐานขึ้น ทำให้ใจของท่านปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลาย สงบ หยุดนิ่งอยู่ภายใน ผ่องใสไปตามลำดับ จนเข้าถึงธรรม บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณในขณะนั้นเอง

อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่นกน้อยพุทธรักขิตสามารถพัฒนาชีวิตของตนได้ ถึงเพียงนี้

พุทธรักขิตได้ย่นย่อระยะทางการสร้างบารมีของตนได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็เป็นจริงได้เสมอ ด้วยอานุภาพแห่งใจของผู้ที่ทำจริง

ใจของพุทธรักขิตมิเคยหวั่นไหวถ่ายถอนจากภาวนาธรรมเลย ไม่ว่าชีวิตจะตกอยู่ในภาวะร้ายแรงเพียงใด

ใจเช่นนี้ย่อมเป็นใจที่มุ่งตรงต่อเป้าหมาย เป็นใจที่พร้อมอย่างยิ่งในการเข้าถึงธรรม นกแขกเต้าผู้ต่ำต้อย สามารถพลิกชีวิตสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วเราผู้ซึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้เจริญสมาธิภาวนา จะมัวรอช้าอยู่ไย ?



จาก : หนังสือภาวนาธรรม โดย พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป. ธ. ๙ วัดพระธรรมกาย จ. ปทุมธานี

































































เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์