อานาปานสติภาวนา

อานาปานสติภาวนา


พระพุทธเจ้าท่านแนะนำว่า อานาปานสติเป็นกรรมฐานประเภทที่เย็น
สบาย ไม่ยุ่งยาก ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนแล้วก็ทำให้เกิดธรรมะทุก
อย่างที่พึงปรารถนา นี้เรียกว่า...'อานาปานสติ' ฝรั่งมาทีนี้ทุกเดือน
เดือนละ 100 กว่าคนทุก 10 วันต้นเดือน เราสอนแต่เรื่องปฏิจจ-
สมุปบาทกับอานาปานสติ 2 เรื่องเท่านั้น

ปฏิจจสมุปบาท...สอนให้รู้ว่า ความทุกข์เกิดอย่างไรจะดับไปอย่าง
ไร แล้วอานาปานสติก็ปฏิบัติเพื่อให้เป็นอย่างนั้นให้จงได้ จึงปฏิบัติ
ตามอานาปานสติ เป็นธรรมะสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...เมื่อตถาคต
อยู่ด้วยอานาปานสติวิหารอยู่ด้วยอานาปานสติ ก็ได้ตรัสรู้อนุตตร-
สัมมาสัมโพธิญาณ ฉะนั้นจึงควรเข้าใจเรื่องอานาปานสติที่เป็นหลัก
สำคัญ ที่สรุปรวมธรรมะสำคัญไว้อย่างครบถ้วน คือรู้เรื่องทั้ง 4
เรื่องที่หนึ่ง คือเรื่องกาย
เรื่องที่สอง คือเวทนา
เรื่องที่สาม คือเรื่องจิต
เรื่องที่สี่ คือเรื่องธรรมะอันเป็นที่คั้งแห่งความยึดถือ

หมวดที่หนึ่ง รู้เรื่องกาย กายเนื้อหนังนี้ก็ดี กายลมหายใจก็ดี เรามี
ร่างกายเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต เราจะต้องจัดมันให้ถูกต้อง ควบคุมมันให้
ถูกต้องให้มันเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต เราจึงต้องทำกายานุปัสสนา
ควบคุมกาย บังคับกาย รู้จักกาย ดำรงกายไว้ให้ถูกต้อง ให้กายลม
หายใจมันละเอียดสงบระงับ แล้วมันก็ช่วยให้กายเนื้อหนังร่างกาย
ละเอียดสงบระงับ เราก็เป็นผู้มีอำนาจเหนือกาย จะทำให้กายลมหรือ
กายเนื้อสงบระงับเมื่อไหร่ก็ได้ หมายความว่าต้องการความสุขทาง
กายเมื่อไหร่ก็ได้ นี้เรียกว่าหมวดกายานุปัสสนา

แล้วหมวดที่สอง เวทนา เวทนาคือความรู้สึกของกายที่จะรู้สึกเป็น
ยินดียินร้าย เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นถูกใจไม่ถูกใจ นั่นมันครอบงำอยู่
ตลอดเวลา ทุกคนเป็นทาสของเวทนา ท่านหาเงินมามากๆก็เพื่อซื้อ
เวทนาที่ท่านต้องการ ท่านมีบุญอำนาจวาสนามาก ก็ใช้มันไปหาเวทนา
ที่ต้องการ แม้ท่านจะครองโลก มันก็ครองเพื่อได้เวทนาที่ท่านต้อง
การ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเวทนาที่ท่านต้องการ เวทนามีอำนาจถึง
ขนาดนี้ มันปรุงแต่งให้เกิดความคิดและการกระทำสารพัดอย่าง
เราต้องควบคุมให้ได้ อย่าให้ไปหลงในเวทนาบวก อย่าให้ไปกลัว
ในเวทนาลบ ให้อยู่เหนือเสียทั้งบวกทั้งลบ ควบคุมเวทนาได้แล้ว
จิตจะปกติ จิตจะไม่ถูกปรุงแต่งให้ยุ่งยากวุ่นวาย ต้องการความสุข
ทางความรู้สึกเมื่อไรก็ทำได้ นี้เรียกว่ามีเวทนานุปัสสนา

ทีนี้หมวดที่สาม ก็เป็นเรื่องจิต ศึกษาให้รู้จักจิตทุกชนิด แม้จิตที่
เราไม่เคยได้รับ เราก็คำนาณ เช่นว่าจิตหลุดพ้นเรายังไม่หลุดพ้น
เราก็รู้จากความที่ถูกขังอยู่ที่นี่เป็นทุกข์เวทนา อยู่ที่นี่อย่างกับตก
ในนรก ก็คำนาณ ถ้าตรงกันข้ามหลุดพ้นออกไปจากนี่ มันเป็น
อย่างนี้ นั่นแหละเรารู้จักจิตที่หลุดพ้นได้โดยที่เรายังไม่หลุดพ้น
เราเอาจิตที่เรารู้จักอยู่แล้วเป็นเครื่องคำนวณว่า ถ้าตรงกันข้าม
มันจะเป็นอย่างไร เราจึงรู้จักจิตที่หลุดพ้น จิตที่ประเสริฐ จิตที่ไม่
มีอะไรยิ่งกว่า เราก็บังคับจิตได้ตามความต้องการ บังคับให้บัน
เทิงก็ได้ บังคับให้ปล่อยวางสิ่งใดๆที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ได้ นี่ฝึก
จิตอย่างนี้เรียกว่า...จิตตานุปัสสนา เป็นเรื่องวิเศษประเสริฐที่
สุด ถ้าบังคับจิตได้ความทุกข์ไม่มีหรอก

หมวดที่สี่ เรื่องสุดท้าย เรียกว่าเรื่องธัมมานุปัสสนานี้ รู้จักสิ่งทุก
สิ่งที่มันมาหลอกให้เรายึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าอะไรถ้าไปยึดมั่นถือมั่น
เป็นตัวตนเข้าแล้ว มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ทุกสิ่งในโลกที่มีอยู่ใน
สากลจักรวาล สิ่งใดเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น รู้จักมันเสีย
ไม่ยึดมั่นถือมั่น นี้เรียกว่ารู้จักธัมมานุปัสสนา เมื่อเห็นว่าสิ่งทั้ง
ปวงถ้าไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วเป็นทุกข์ มันก็เบื่อหน่าย ก็คลาย
จากความยึดมั่นถือมั่นนั้น คลายออก คลายออก คลายออก
ไม่เท่าไหร่มันก็หมดความยึดมั่นถือมั่น นี่หลุดพ้น เป็นความหลุด
พ้น เป็นการบรรลุมรรคผลชั้นสูงสุด ขั้นหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า...
โอ้! หลุดพ้นแล้ว หลุดพ้นจากอำนาจผูกพันของธรรมชาติ อำนาจ
อะไรต่างๆเป็นวิมุตติหลุดพ้น เป็นพระนิพพาน ภาวะที่ไม่ถูกเกี่ยว
เกาะผูกพันอยู่กับอะไร เรียกว่าความหลุดพ้น เป็นความหมายของ
พระนิพพาน คือ...ความสงบเย็น...ฯ

~ท่านพุทธทาสภิกขุ~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์