ทำดีให้ดีปรากฏ (ท่านปิยโสภณ)

ทำดีให้ดีปรากฏ (ท่านปิยโสภณ)


ทำดีดีจริง ทำชั่วชั่วจริง หว่านพืชเช่นใดได้รับผลเช่นนั้นจริง ความดีเหมือนเกลือ เกลือจะไม่เค็มก็ต่อเมื่อถูกเจือจ้างด้วยน้ำที่มากเกินปริมาณ ดีจะยังไม่ให้ผลเป็นดี เพราะถูกบดบังด้วยดีปลอม ดีเทียม ประการที่ ๒ คือให้คนเชื่อกฎแห่งความดีและความชั่ว ที่ให้ผลข้ามภพข้ามชาติว่าเป็นความจริง ความล้มเหลวของระบบศีลธรรม เกิดจากสังคมไม่มั่นใจในเรื่องทำดีได้ดี ยังคลางแคลงสงสัยการให้ผลของกรรมซึ่งมีทั้งระยะสั้นระยะยาว คือให้วันนี้ พรุ่งนี้ ชาตินี้ หรือตามไปให้ข้ามภพข้ามชาติ เมื่อคิดสั้นไม่คิดยาว ต้องการเห็นผลทันที ก็อาจปฏิเสธอดีตอนาคตที่เป็นภพชาติไปได้ ระบบศีลธรรมถูกทำลายเพราะสังคมเรื่องสงสัยเรื่องการให้ผลของกรรมและเรื่องภพชาติระยะยาว

.............เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สังคมคิดพึ่งพาเฉพาะกฎหมาย คือการให้ผลระยะสั้น ไม่สนใจกฎแห่งกรรมที่จะให้ผลระยะยาว ในที่สุด คนทำดีจึงหมดแรงทำดีต่อไป เพราะเห็นว่าดีที่ทำนั้นไม่ยอมให้ผลสักที บ่นว่านานเกินรอ ความจริงเขาลืมนึกไปว่า ความดีเป็นไม้ยืนต้น ชื่อเสียงเกียรติยศลาภสักการะบริวารเป็นไม้ล้มลุก ดีแท้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะปลูกฝังนานมาก กว่าไม้นั้นจะเจริญเติบโต มีแก่นแข็งแร็งพอจะทำเสาเรือนได้ บางครั้งกินเวลานานถึง ๖๐ ปี

.............ความดีมีพลังยิ่งใหญ่ ความดีเหมือนดวงอาทิตย์ ปกติดวงอาทิตย์ทอแสงตลอดเวลา การที่โลกมืดในเวลากลางคืนมิได้หมายความว่าพระอาทิตย์หยุดทอแสง หากแต่เพราะโลกหมุน และมุมโลกอีกด้านไปรับแสงอาทิตย์แทน ทำให้อีกด้านมืด และอีกด้านสว่างสลับกันไป การที่ความดียังไม่ให้ผล มิได้หมายความว่าดีที่ทำไว้ไร้ผล การที่โลกเรายังมืดก็เพราะโลกยังหมุนตัวไปไม่ถึงแสงอาทิตย์ เรารอเพียงไม่กี่ชั่วโมง โลกก็สว่างแล้ว

.............ความดีอยู่ที่จิต จิตของมนุษย์เหมือนดวงอาทิตย์ แต่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า จิตไม่เคยหยุดฉายแสง แสงของจิตคือความคิดหรือปัญญา เหมือนอาทิตย์ไม่เคยหยุดอุทัยแสง แต่ที่เรารู้สึกมืดบอดทางความคิดในบางครั้ง ท้อใจในบางคราว ก็เพราะดวงปัญญาถูกเมฆหมอกคือกิเลสปิดบัง จึงทำให้มองเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว อาจเป็นเพราะสังคมพาไป เพราะค่านิยมที่คนส่วนใหญ่สร้างขึ้นมา แต่เมื่อถึงวัยอันสมควรแล้ว ทุกชีวิตก็ล้วนพูดเป็นภาษาเดียวกันว่า ชีวิตเหมือนละคร สุดท้ายต่างก็หาทางวางสิ่งที่เคยแบกหามมาอย่างหนักในชีวิต ทั้งเกียรติยศ ลาภ สักการะ หรือแม้แต่สังขารของตนก็ต้องละทิ้งไม่ยอมหอบหิ้วข้ามภพชาติไปด้วย ดังโคลงพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ ว่า

.............พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง.............โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
.............นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์.............สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

ฝูงชนกำเนิดคล้าย                   คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ              แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน                  กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง                    อ่อนแก้ฤาไหว


ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์