แสงสว่างของชีวิต (ต่อ)

แสงสว่างของชีวิต (ต่อ)


คำว่า "กายะ" คนทั้งหลายเข้าใจว่า ร่างกาย เนื้อตัวนี้ เป็นสิ่งที่สวยงามน่ารักน่าทะนุถนอม นักประพันธ์จึงได้พรรณนาถึงความงามของสตรีกันเสียหยดย้อย จึงได้ยกยอเพ้อฝันหลงใหลกันไปไกลและยื้อแย่งช่วงชิงกันยกใหญ่


แต่เมื่อแปล คำว่า "กายะ"นี้ ออกมาแล้ว แปลว่าที่ประชุม หมายถึงที่ประชุมแห่งความโสโครก ซึ่งเมื่อพิจารณากันโดยอาศัยแก่นแท้ของความจริงแล้ว แปลได้ตรงดีจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องอาบน้ำ ขัดถู ฟอกสบู่ให้มันวันละหลายครั้ง ประพรมน้ำหอมที่ซื้อหามาด้วยราคาแพงๆ เพื่อกลบกลิ่นเสียบ้าง ต้องแปรงฟันอยู่ทุกเช้าค่ำ ต้องตัดผม ตัดเล็บมือเล็บเท้าด้วยกลัวว่ามันจะยาวเกินไป ต้องกลืนกินของโสโครกลงไปไว้ในร่างกายอยู่ทุกๆวัน วันละหลายครั้งขาดไม่ได้ ต้องถ่ายของสกปรกออกจากร่างกายอยู่ทุกวี่ทุกวัน เพราะหมักหมมนานนักก็ทนไม่ไหว

ร่างกายที่เรายึดถือกันว่า งดงาม สวยสง่า เป็นที่หวงแหนของคนทั้งหลาย ยื้อแย่งแข่งดีจนถึงกับทำลายซึ่งกันและกันจนพินาศย่อยยับไป ก็ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของความสกปรกโสโครกสิ้นดี ขาดเสถียรภาพ เป็นที่พักอาศัยของโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย เป็นที่อยู่ของสัตว์เดรัจฉานเล็กๆ มากมาย และเป็นที่ๆ พระยามัจจุราชจะได้เยี่ยมกรายเข้ามาในเวลาไม่ช้า

แม้ถึงว่าจะเป็นได้ดังที่กล่าว แต่มนุษย์กลับเห็นว่า ตรงกันข้าม ก็เพราะด้วยอำนาจของโมหะหรืออวิชชา พร้อมทั้งอำนาจของโลภตัณหา มาปิดบังขวางกั้นไว้เสีย และการขวางกั้นนี้ ในวิทยาการทางโลกทุกสาขา แม้ศาสตราจารย์ของศาสตราจารย์ก็ไม่มีความสามารถมองเห็นได้อย่างลึกซึ้งถึงใจ แล้วใช้วิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งมาประหาณความเห็นผิดนี้เสียได้ นอกจากอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

การติดใจในอารมณ์ทางเพศ ก็เพราะผู้เสพผู้ติดใจนั้นเห็นว่า มันหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นการกระทำชู้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าบัดสี น่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือเกินก็ยังกล้ากระทำได้ ไม่มีความละอาย ไม่กลัวอันตราย เหมือนกับตัวแมลงที่ตกลงไปในน้ำผึ้ง เพราะหลงติดใจในรสของมันฉะนั้น

ความยินดีในทางโลกถ้าไม่มีการยับยั้งแล้ว ก็ต่างจะพากันพยายามไปจนสุดเหวี่ยง เมื่อเป็นดังนี้ ก็ย่อมจะนำไปสู่ความพินาศ ความเห่อเหิมทะเยอทะยานของมนุษย์ ย่อมนำไปสู่ความหายนะ เพราะใจของมนุษย์ที่มิได้ถูกควบคุม ก็เหมือนกับทะเลที่กำลังเป็นบ้า ย่อมจะพัดพาทำลายสิ่งทั้งหลายให้ย่อยยับไป

วิทยาการในทางโลก ค้นคว้าศึกษากันก็แต่ในวงของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น แต่พระพุทธศาสนาสอนแล้วชี้หนทางให้พ้นไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

วิทยาการทางโลกสอนกันไปอย่างไร ก็ยังต้องก้าวไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความวุ่นวาย แล้วต้องตายต้องเกิดอีก แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ก้าวไปสู่ความสุขความสงบเยือกเย็นใจ และไม่ให้เกิดขึ้นมาเพื่อรับทุกข์อีกต่อไป เมื่อคิดดูให้ดีแล้วก็จะเห็นได้ว่าลึกซึ้งกว่ากันเสียยิ่งกว่าฟ้ากับดิน

โดย อ.บุญมี เมธางกูร
บอร์ดพลังจิต

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์