สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก

สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก

สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก 


พระครูญาณทัสสี (หลวงปู่คำดี ปภาโส)
วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๒๗



ความจริง “จิตใจ” ของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์
สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว
ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ
เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ
ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน
ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์

ไม่ใช่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ
ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อน เป็นทุกข์
ตัวของเราเองที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง


บุคคลที่มีทาน มีศีล แต่ขาดการภาวนานั้น
เปรียบเหมือนบุคคลที่มีเสบียงพร้อมแล้ว มีร่างกายที่สมบูรณ์
มีกำลังวังชาที่ดี แต่บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ตาบอด
เขาย่อมไม่สามารถจะเดินทางไปสู่พระนิพพานได้


เมื่อจิตใจรวมลงได้ละเอียดเป็นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาอยู่บ้างก็ตาม ให้เรากำหนดนิ่งเฉย
คำว่า “นิ่งเฉย” เปรียบเหมือนกับนายพรานตักเนื้อ
เขาจะนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
แต่ตาของเขาจะมองดูสัตว์ต่างๆ ที่จะดักฉันใด
การตั้งสติกำหนดจิตก็ฉันนั้น

ให้พากันสนใจเรื่องการภาวนา
เราบังคับจิตใจไว้เป็นของง่าย เพราะเป็นของมีอยู่กับตัว

ไม่ต้องซื้อไม่ต้องขอ ไม่ต้องแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งมีประโยชน์มาก

ถ้าเราบำเพ็ญความสงบได้แล้ว
มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม


เรื่องของนิมิตนี้จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญ
เพราะว่าการที่เราทำสมาธิภาวนา
ก็เพื่อมุ่งให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น

ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเป็นอารมณ์เดียวได้แล้ว
ก็พอเท่านั้น ไม่มีนิมิตเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นไร
การภาวนาท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น
คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน
เห็นความหลงของตน เห็นราคะของตน เห็นมานะทิฐิของตน


ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตาม
หรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้า “ไตรลักษณญาณ” ยังไม่เกิดแล้ว
ก็ยังนับว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ยังผิด ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด


บางคนภาวนาไม่อยากเห็นภาพต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น
การที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรแปลก
ที่ว่าไม่แปลกก็เพราะว่า เมื่อเราเห็นแล้ว กิเลสของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม
บางคนแถมยังทำให้เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้นอีกเสียด้วย

คือถือว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้
เลยไม่ยอมกราบไหว้ใครทั้งสิ้น จนกลายเป็น
สัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์
ปิดกั้นทางมรรค ทางผล ทางนิพพาน ไปโดยปริยาย

เป็นความเห็นที่ผิดจากหลักศาสนา
พวกเราท่านพากันฝึกหัดสติลูบๆ คลำๆ กันอยู่อย่างไรเล่า
จึงมิรู้ช่องแนวทางพ้นทุกข์เสียที


ด้วยเหตุนี้ ขอให้พากันยึดหลักสติปัฏฐาน ๔
เป็นหลักฝึกสติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น
ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา หรือสมบัติต่างๆ
เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้
เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้

ตรงกับคำว่า “สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก”

สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์