สัมมาวาจา

                                       สัมมาวาจา - รู้โลก ไม่สู้รู้ตน



เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาทางกีฬา และได้พบครับว่า “จิตวิทยา” และ “การใช้คำพูด” ของผู้ฝึกสอนและคนใกล้ชิดนั้น มีผลต่อความสามารถและผลงานของนักกีฬาอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่โครงสร้างร่างกายและการฝึกซ้อมของนักกีฬาบางคนอาจจะเหมือนกัน ทักษะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ประสบการณ์สูสีกัน แต่หากว่านักกีฬาคนหนึ่งได้รับการกระตุ้นด้วยคำพูดที่เหมาะสม หรือวิธีที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ จะแสดงผลงานได้ดีกว่าอีกคนหนึ่ง

ประเด็นที่อยากพูดคุยก็คือเรื่องของความสำคัญของ “วาจา” หรือ “คำพูด” ของเรา ว่าเป็นสิ่งที่มีผลต่อความเป็นไปของสิ่งรอบตัวได้มากกว่าใคร ๆ จะคาดคิดได้ บ่อยครั้งทีเดียวที่ปรากฏการณ์ในสังคมต่าง ๆ เกิดขึ้นจากคำพูดของคน ยิ่งในยุคสมัยปัจจุบันยุคที่คนเรามีโอกาสในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ไม่ใช่แต่เฉพาะในสื่อรูปแบบเดิม แต่ยังในช่องทางอื่น ๆ เช่น ช่องทางดิจิทัล ยิ่งทำให้โลกใบนี้อลหม่านได้มากขึ้นทุกทีอย่างที่เราเห็น

เมื่อพูดถึงวาจา ทำให้นึกถึงคำสอนในเรื่อง “สัมมาวาจา” ของพระพุทธองค์ สัมมาวาจา ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน ๘ ของมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งถือเป็นหนทางในการที่จะเดินทางไปสู่ “นิโรธ” หรือ “นิพพาน” ตามหลักพระพุทธศาสนานั่นเอง

คำว่า “สัมมาวาจา” นั้นคงไม่ได้หมายรวมแต่เฉพาะเรื่องของการ “ไม่พูดเท็จ” แต่รวมถึงการ “ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดนินทา ไม่พูดเพ้อเจ้อ” อีกด้วย ที่นอกจากนี้ก็น่าจะหมายรวมถึง “การพูดสิ่งดี การพูดให้กำลังใจคน การพูดเพื่อให้คนมีความปรองดองกัน รักษาน้ำใจกัน” ไปด้วย


สัมมาวาจา

“สัมมาวาจา” เป็นธรรมะที่คนเราสามารถปฏิบัติได้ทุกวัน เพื่อความผาสุกของตนเองและสังคม
 
แต่สังคมปัจจุบันนี้ดูเหมือนกับเราจะห่างไกลจากเรื่องของ “สัมมาวาจา” มากไปทุกที ไม่ต้องอะไรมากมายครับลำพังแค่ “การพูดโกหก” อันเป็นหนึ่งในศีล ๕ อันเป็นศีลพื้นฐานของพุทธศาสนิกชน ยังสามารถปฏิบัติกันได้รายวัน  ไม่ละอายและเกรงกลัวต่อบาปและผลของบาปแม้แต่น้อย บางคนพูดแล้ว ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้พูด ไม่รับผิดชอบต่อลมปากของตนเองก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น เหมือนกับโลกนี้ ศีลธรรมไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว

จากการที่สังคมเรานั้น นับวันยิ่งจะละเลยเรื่อง “มุสาวาทาฯ” และ “สัมมาวาจา” จนพาลไปถึง “มิจฉาวาจา” อยู่บ่อยครั้ง ทำให้สังคมยิ่งดูอึมครึมมากขึ้นทุกวัน มีการใช้ความรุนแรงทางภาษา อันธพาลทางวาจา จนกระทั่งบั่นทอนจิตใจของผู้ที่พยายามประคองสังคมให้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและความผาสุก

การแก้ไขที่บุคคลที่ละเมิดศีลจนอาจิณ หรือบุคคลที่ไม่เคยน้อมนำธรรมมาสู่ตน คงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่การกำหนดท่าทีและการกำหนดจุดยืนของผู้มีธรรมต่อ สถานการณ์ทางสังคมที่ในวันนี้วันที่ มิจฉาวาจาครองเมือง อาจจะดูง่ายกว่ามาก

สิ่งสำคัญน่าจะเป็นความหนักแน่น เมื่อต้องเผชิญกับมิจฉาวาจา ที่คอยบั่นทอนจิตใจทุกวี่ทุกวัน นอกจากนี้ก็คือเรื่องความกล้าหาญในทางจริยธรรมที่จะตอบโต้ มิจฉาวาจา โดยไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลของผู้อธรรม หลายครั้งที่ มิจฉาวาจา และการพูดโกหกรายวันนั้นมาพร้อมกับความอันธพาลและความก้าวร้าวที่รุกรานให้วิญญูชนและผู้ประพฤติธรรมต้องถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว แต่อันที่จริงผู้ประพฤติธรรมควรที่จะต้องตระหนักว่า การปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้การครอบงำของ มิจฉาวาจา ความก้าวร้าวความอันธพาลทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมมวลรวมต้องพบกับปัญหาอย่างที่เป็นโดยตลอด

ที่ผ่านมาลมปากที่เรียกว่า มิจฉาวาจา ครอบงำทำลายสังคมเลยครับ มันกัดกร่อนสังคมเราทุกวัน ถึงเวลาแล้วที่ควรต้องตระหนักถึงความสำคัญของ สัมมาวาจา พลังฝ่ายดีกันสักทีแล้วครับ.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์