บางช่วงบางตอนจากประสบการณ์ การเห็นธรรมคือการเห็นตน

"บางช่วงบางตอนจากประสบการณ์ การเห็นธรรมคือการเห็นตน"
ตามทัศนะของท่านเขมานันทะ" คุณวิทยากร โสวัตร เรียบเรียง
"ที่ผมยืนอยู่วันนั้นเป็นโขดหินเกือบเท่าบ้านนี้นะครับ ผมยืนอยู่ข้างบนดูวิว
มีเด็กผู้หญิงต้อนวัวมากินหญ้าบนภูเขา แหงนหน้าเห็นผม ก็ยกมือไหว้
แล้วผ้าถุงมันจะหลุด แกเลยย้ายชายพกและผมเห็นเข้า
สติมันไม่มีกำลังพอที่จะตัดบทเดี๋ยวนั้น มันก็ตามติดถึงถ้ำเลย
ไม่ใช่ไปตามผู้หญิงนะครับ หมายถึงอารมณ์ที่พัวพัน
ไม่ว่าแง่บวกหรือแง่ลบนะครับ แง่ลบเราพยายามมองเป็นซากศพไม่สำเร็จ
ผมก็รู้ตัวแล้วว่าโดนเล่นงานแล้ว ไม่ใช่จากภายนอก
จากศาสตราวุธของศัตรู หรือความอดอยากลำบาก
แ ต่ ศั ต รู ที่ แ ท้ จ ริ ง เ กิ ด ขึ้ น แ ล้ ว ภ า ย ใ น
ที่ จ ริ ง ถ้ า รู้ จั ก ห ลั ก วิ ปั ส ส น า พ อ เ พี ย ง ไ ม่ ต้ อ ง ทำ อ ะ ไ ร เ ล ย มั น จ ะ ดั บ ไ ป เ อ ง มั น เ กิ ด ไ ด้ ก็ ดั บ ไ ด้
แต่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาเกินไป
แต่-ผม-รู้-เท่า-ไม่ทัน ไปแตะกับมันเข้า ไปยุ่งกับมันเข้า
มันก็เลยพัวพัน ดิ้นไม่หลุดครับ เจอศัตรูภายในแล้ว
ขึ้นไปนั่งบนเพดานถ้ำ พระจันทร์ขึ้น แต่ผมไม่เห็น
จ ริ ง ๆ เ ห็ น แ ต่ ไ ม่ รู้ ว่ า มี ก า ร เ ห็ น คื อ ไ ม่ ส น ใ จ เ ล ย ค รั บ
พอเห็นพระจันทร์เท่านั้นความโล่งโปร่งก็ปรากฏขึ้นแทน
เราหนีตัวเองไกลจนกลับบ้านไม่ถูกต่างหาก
บ้ า น คื อ ค ว า ม ป กติ ค รั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ตั ว ธ ร ร ม ด า เ ห มื อ น ที่ เ ร า เ ป็ น อ ยู่ นี้
เราไม่มีความโกรธหรือโลภอะไร
คำว่าปกติมันเป็นอยู่แล้วครับ แต่เราได้รับคำแนะนำมาผิดๆ
อยากเป็นซุปเปอร์แมน คิดว่าการบรรลุธรรมคือการมีฤทธิ์เดช
ความงมงายนี้แฝงอยู่เล็กๆ น้อยๆ ตลอดทางของการภาวนา
เราไม่ต้องการให้ตัวเองปกติ เราต้องการให้มันสนุก ครึกครื้น ให้มันวิเศษ
ดังนั้นตัวจริงของเราเลยถูกบดบัง
ตั ว จ ริ ง ที่ มั น เ ป็ น ป ก ติ ...ภ า ว ะ ที่ ดี ที่ สุ ด คื อ ป ก ติ
คำพูดนี้เราอาจจะพูดเล่นพูดหัวกัน แต่มันมีความจริงที่ลึกซึ้งในตัวของมัน
มีชีวิตที่ปกติธรรมดาอย่าปรารถนาอะไร ได้อะไรมาในที่สุดก็ต้องตาย
คิดแบบนี้ คิดแบบศาสนาไม่ใช่ปรัชญา คือเราจะตายแล้วเราจะโลภไปหาอะไร
ซึ่งต่อจากนั้นมันจะกระตุ้นธรรมชาติของความเจือจาน เห็นมนุษย์เป็นเพื่อนมนุษย์
เมื่อทุกคนต้องตายแล้วจะไปเบียดเบียนกันทำไม
มันจะงอกงามขึ้นเองครับโดยไม่รู้ตัวทีเดียว
แต่ถ้าเราต้องการเป็นฮีโร่เสียแล้วนี่ยาก
ยากเพราะว่ามันจะนำเราไกลห่างจากภาวะปกติดั้งเดิมของเรา
คือพยายามที่จะเป็นอะไรใหม่ๆ สมมุติเราเกิดตัณหา กามราคะขึ้น
ก็สามารถที่จะตัดมันทิ้งไป แล้วเลือกความรู้สึกตัวง่ายๆ แทนได้
คือพอเรารู้ตัวเท่านั้น สิ่งที่ไม่ต้องการที่ฝืนธรรมชาติก็ตกไปเอง
เ ร าไ ม่ ส า ม าร ถ ล ะ กิ เ ล ส ตั ณ ห า ไ ด้ โ ด ย ต ร ง
เ พี ย ง แ ต่ เ ร า ไ ม่ เ อ า เ ท่ า นั้ น เ อ ง ไ ม่ ต้ อ งก า ร
ถ้าไม่ต้องการมันก็งอกงามไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่เราสงสัยหรือลังเลครับ
คำว่าลังเลดูคล้ายๆ มีฤทธิ์เดชไม่มาก แต่จริงๆ มากครับ
เพราะลังเลเราจึงทำผิดแล้วผิดอีก ถ้าไม่ลังเลนะเรามีการสมัครที่จะรัก
รักภาวะปกติ เมื่อเราปกติมากๆ เข้า มันมีพลังในตัวมันเองในการหยุดยั้งและคลี่คลาย
เช่นเราจะได้ยินว่าละความโกรธให้ทำอย่างนั้นๆ ผมว่าเป็นสิ่งที่ไร้ผล
จนกว่าจะไม่เอาเองครับ เ ร า ไ ม่ เ อ า เ อ ง
ความรู้สึกตัวมันเป็นเรื่องพื้นๆ เท่านั้น แต่มันยังไม่รวมตัวกันเข้า
เหมือนจอกที่อยู่ในห้วยในบึงเมื่อไม่รวมตัวมันก็ไม่มีพลัง
ความรู้สึกตัวง่ายๆ ที่หลวงพ่อเทียน สอนก็ดี มีปรากฏในพระไตรปิฎกก็ดี
เมื่อพูดถึงการรวมตัวของมันแล้วรู้ตัวทั่วพร้อม
ชาวพุทธถือว่าเป็นวิถีทางของการภาวนา
ยกมือนี่มันวูบวาบๆ ใช่ไหม ลองยกดู
มันเย็นๆ พอมารวมตัวกันเข้ามันกลายสภาพจากสติภาวนา กลายมาเป็นวิปัสสนา
คือเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เห็นเหตุของความทุกข์ ปกติเราจะไม่เห็น
เราดีแต่ทุกข์ เราไม่เห็นเหตุ เราไม่เคยดูที่เหตุของมันเลย
แต่เรามักไปดูที่ผลไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ
พอนั่งสมาธิจิตสงบขึ้นมาก็ไปดูที่ผลมันเข้า แล้วก็หลงปลื้มใจ
อาการเช่นนี้จับตัวผู้ภาวนาอยู่ ถ้าเราเห็นเหตุจะเกิดวิปัสสนาขึ้นมา
วิปัสสนาคือการเห็นแบบสัมผัสได้ อย่างเราดูจิตใจของเรามันก็ไม่มีอะไร
เพราะว่าพอเราไปดูมันเข้า มันก็บดบังไม่ให้เราเห็นธรรมชาติก่อนหน้าที่เราจะดู
เช่นเราดูความคิด แค่คิดว่าจะดูก็เสียท่าแล้ว เพราะมันเป็นความคิด
มาในรูปของอะไรต่างๆ นานา แก่นของวิปัสสนาคือสมดุล
ในภาวะสมดุลไม่รักไม่เกลียด ไม่โลภ ไม่หลง
ความรู้สึกมันจะปรากฏขึ้น
เหตุที่มันปรากฏขึ้นเพราะมันมีอยู่แล้วครับ
แต่เราค้นสมดุลไม่เจอเท่านั้นเอง"
บางตอนจาก "สังสรรค์เสวนากับเขมานันทะ..."
เมษายน 2551 โดยคุณวิทยากร โสวัตร

ขอขอบคุณ Trader Hunter พบธรรม

บางช่วงบางตอนจากประสบการณ์ การเห็นธรรมคือการเห็นตน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์