กระดาษ : อดีตและอนาคต (2)

กระดาษ : อดีตและอนาคต (2)



         ปัจจุบันโลกผลิตกระดาษประมาณปีละ  300  ล้านตัน  คนอเมริกันคนหนึ่งๆ  ใช้กระดาษเฉลี่ยปีละ 330  กิโลกรัม  ในรูปของหนังสือพิมพ์วัสดุห่อของกระดาษโฆษณา ฯลฯ  คนญี่ปุ่นนิยมใช้กระดาษพับรูปสัตว์ (origami)  ทำว่าว  ร่ม  และม่านบังตา  เป็นต้น ถึงแม้ประวัติความเป็นมาของกระดาษจะยาวนานเกือบ 2,000  ปีก็ตาม  แต่องค์ประกอบหลักของกระดาษก็ยังคงเหมือนเดิมคือ  กระดาษต้องมีน้ำและใยเซลลูโลส  และพันธะเคมีระหว่างโมเลกุลทั้งสองชนิดนี้เองทำให้กระดาษแข็ง

        
แต่กระดาษก็เช่นเดียวกับวัสดุอื่นๆ  คือมีการสลาย  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนาน  เนื้อกระดาษที่เคยมีสีขาว  หรือหมึกกระดาษที่เคยมีสีดำจะกลายสภาพ  คือ เปราะ  หัก  และหมึกจะขาดความคมชัด  ดังนั้นนักอนุรักษ์กระดาษจึงต้องคิดหาหนทางเก็บกระดาษที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ให้คงสภาพดีตลอดไป เช่น  หอสมุดรัฐสภาของสหรัฐอเมริกาใช้วิธีบรรจุหนังสือล้ำค่าลงในกล่องพิเศษที่ได้รับการปกป้องมิให้มีความชื้น  หรือฝุ่นละอองมารบกวน  ส่วนกรณีเอกสารที่ถูกตีพิมพ์ในสมัยสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ  ซึ่งได้ถูกมอดไชเป็นรูเล็กก็ได้รับการซ่อม  โดยนักอนุรักษ์ใช้วิธีเติมเนื้อกระดาษชนิดเดียวกันลงในรูเหล่านั้นให้กลมกลืน

        
เทคโนโลยีอวกาศก็ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในการอนุรักษ์กระดาษเช่นกัน  โดยนักอนุรักษ์ใช้กล้องถ่ายภาพที่ใช้ในดาวเทียมจารกรรม  ถ่ายภาพตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษ  การมีประสิทธิภาพในการเห็นสูง  จะทำให้กล้องสามารถเห็นความเข้มของหมึกได้อย่างชัดเจน  ดังนั้นเมื่อความเข้มหมึกเปลี่ยนแปลง  กล้องก็จะตรวจพบ  และนี่คือสัญญาณชี้บอกให้นักอนุรักษ์เริ่มหยิบแปรง  พู่กัน  มาเติมแต่งให้คงสภาพเดิม 

        ถึงแม้กระดาษจะมีประโยชน์สักปานใดก็ตาม  แต่กระดาษก็เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ  คือมีโทษเช่นกัน
  คือ  ในการทำกระดาษเราต้องการตัดต้นไม้  เช่น  ไผ่  เพื่อเอาเยื่อมาทำกระดาษ  หมึกกระดาษก็มีราคาแพง  อุตสาหกรรมกระดาษต้องใช้น้ำมากและน้ำที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานทำกระดาษเป็นน้ำที่มีมลพิษและปัญหาการจำกัดกระดาษที่ใช้แล้วคือปัญหาขยะ  มาบัดนี้ปี
2000  โลกกำลังคิดจะใช้สื่อใหม่แทนกระดาษ  ถ้าสื่อใหม่ได้รับความนิยมจากสังคม  นั่นก็หมายความว่ายุคการใช้กระดาษก็จะถึงกาลอวสาน 

        สิ่งนั้นคือกระดาษอิเล็กทรอนิกส์  และหมึกอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งจะใช้ควบคู่กับคอมพิวเตอร์ในการแสดงภาพตัวอักษร  และภาพถ่ายต่างๆ
 กระดาษอิเล็กทรอนิกส์นี้จะบาง  ทำให้สามารถทำให้นำติดตัวไปไหนมาไหนได้  และก็อ่านง่ายเช่นเดียวกับกระดาษธรรมดาเพราะเพียงแต่เปิดสวิทช์  ผู้อ่านก็จะอ่านข้อมูลในกระดาษได้ทันที  คุณสมบัติที่ประเสริฐข้อหนึ่งของกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ก็คือ  ภาพ  และตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษจะปรากฏอยู่ได้นาน  โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากที่ใดมาในการอนุรักษ์เลย 

        ขณะนี้ก็ได้มีการนำกระดาษอิเล็กทรอนิกส์  มาใช้ตามร้านค้า  ร้านซูเปอร์มาเก็ตสนามบิน  และที่สาธารณะอื่นๆ  แล้ว
  และอีก
7 ปีนับจากนี้ไป  เมื่อเทคโนโลยีการใช้สีหมึกอิเล็กทรอนิกส์ก้าวหน้าขึ้น จอคอมพิวเตอร์หน้าปัทม์นาฬิกา  และเครื่องคิดเลขต่างๆ  ก็จะใช้กระดาษอิเล็กทรอนิกส์แทน  และอีก 20 ปีข้างหน้า  ผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศต่างก็คาดคะเนว่า  หนังสือจำนวนมากมายที่มีในห้องสมุดจะถูกแทนที่ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพียง 1 เล่ม  ได้อย่างสบายๆ

       
จากการที่เราสามารถอ่านกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย และสามารถนำกระดาษที่ข้อมูลมากนี้ติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวก  อีกทั้งสามารถนำมาอ่านได้  100  ล้านครั้ง กระดาษอิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่สลาย  คือ  เป็นคราบเหลืองเช่นกระดาษทั่วไป  เพราะสีอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาใช้ทำด้วยอนุภาคกลมเล็กที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.01 มิลลิเมตรจำนวนมากมาย  โดยอนุภาคถูกบรรจุอยู่ในแคปซูล (capsule)  ขนาดใหญ่กว่า 40  เท่าตัว  และครึ่งหนึ่งของตัวอนุภาคถูกทาด้วยสารประกอบ  titanium  dioxin  ทำให้มีสีขาว  และอีกครึ่งหนึ่งมีสีดำ  อนุภาคส่วนที่มี titanium  dioxin ถูกทำมีประจุไฟฟ้าลบ 
        ดังนั้นเวลาเราเอาขั้วไฟฟ้าขนาบบน
capsule โดยให้บางตำแหน่งเป็นขั้วบวก  บางตำแหน่งเป็นขั้วลบ  บริเวณเป็นบวกก็จะดูดประจุลบบนเม็ดอนุภาคบริเวณที่เป็นขั้วลบก็จะผลักประจุลบบนอนุภาค  มีผลทำให้อนุภาคหมุนตัว  กลับลงล่าง  หันส่วนที่เป็นดำขึ้น  ข้างบนแทนทันที  ทั้งนี้โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นตัวกำหนดบริเวณขาวดำ  ทุกบริเวณบนกระดาษอิเล็กทรอนิกส์
 ปัจจุบันราคาของกระดาษชนิดนี้ประมาณตารางเมตรละ 12,000 บาท  และเทคโนโลยีใหม่ที่จะใช้ในการทำกระดาษนี้  คือ pointer ขนาดเท่าดินสอ  ที่ภายในมี  memory  ดังนั้นเวลาเราเคลื่อน   pointer  ไปบนผิวกระดาษอิเล็กทรอนิกส์  การสัมผัสทางไฟฟ้าระหว่าง pointer  กับกระดาษจะทำให้ข้อมูลจาก pointer  ถูกถ่ายทอดลงสู่กระดาษได้ทันที 

      หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ว่านี้หน้าเดิมสามารถบรรจุข้อมูลแทนหนังสือธรรมดาได้
100  เล่ม  และในการเปิดอ่านหรือคนก็สามารถอ่านได้เร็วถึง 20  หน้า/วินาที (ถ้าอ่านทัน)
 ราคาซิที่เป็นปัญหาโลกของคนรวยในอนาคตคงเป็นโลกกระดาษอิเล็กทรอนิกส์  โลกของคนจนก็คงจะใช้กระดาษธรรมดาเหมือนเดิมอีกนาน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์