วิตามินเพื่อสุขภาพ

วิตามินเพื่อสุขภาพ


องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี พ.ศ.2537

ให้ผ่อนคลายความเข้มงวดในการควบคุมอาหารเสริม ทำให้เกิดความตื่นตัวและมีการส่งเสริมการขายอาหารเสริมสุขภาพชนิดต่างๆ อย่างมากมาย รวมทั้งวิตามิน จนพ่อบ้าน-แม่บ้าน ต้องถึงกับเวียนหัวเวลาไปเลือกซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ต เหตุเพราะว่ามีผลิคตภัณฑ์มากมายจนตาลาย ถึงอย่างนั้นก็ตามตลาดการซื้อขายอาหารสุขภาพที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2540 ปาเข้าไปตั้ง 6,000 ล้านเหรียญ (ราว 2 แสนห้าหมื่นล้านบาท) ทำให้พ่อค้าผู้ผลิตวิตามินร่ำรวยกันเป็นแถว ขณะเดียวกันแรงโฆษณาประชาสัมพันธ์ทำให้ชาวอเมริกันราว 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 3 รับประทานวิตามินทุกวัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพอเศรษฐกิจดี ผู้คนมีเงินทองใช้จ่ายเหลือเฟือ ก็จะแสวงหาความสุขและหนทางที่จะทำให้คนมีอายุยืนขึ้น

คำถามต่างๆ มีอยู่ว่า

- วิตามิน คืออะไร
- ทำไมต้องกินวิตามินเสริม
- วิตามินรวมจำเป็นจริงหรือ


วิตามินคืออะไร ?

กว่ามนุษย์จะรู้ว่าวิตามินคืออะไร ก็ต้องเสียเวลานับศตวรรษในการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น การลองผิดลองถูก ยกตัวอย่างเช่นบรรดากลาสีเรือในสมัยโบราณที่เดินทางไปทั่วเจ็ดคาบสมุทรต้องเผชิญกับโรคที่ทำให้กระดูกเปราะ เลือดออกตามไรฟัน และบางรายถึงตาย แล้วเขาเรียกโรคนี้โดยยังไม่ทราบสาเหตุว่าคือโรค Scurvy ซึ่งเมืองไทยเรียกว่าโรคเลือดออกตามไรฟัน ต่อมาจึงมีคนสงสัยว่าสาเหตุของโรคนี้น่าจะมาจากการขาดแคลนอาหารสด พอล่วงมาถึงปี พ.ศ.2290 จึงมีการทดลองและสรุปว่า มะนาวและส้มช่วยป้องกันโรคนี้ แต่กว่าจะรู้ว่าสารอะไรที่อยู่ในผลส้มกับมะนาวที่ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ก็ต้องวิจัยต่อจนถึงปี 2471 แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ให้ชื่อว่า "วิตามิน C"

วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ก็มีที่มาที่ไปคล้ายๆ กัน กล่าวคือ มีอาการเกิดขึ้นกับคนเราแล้วนำไปสู่การค้นหาสาเหตุ ก่อนจะพบว่าตัวการคือวิตามินหรือแร่ธาตุ

วิตามินจำเป็นอย่างไร ?

ความจริง วิตามินและแร่ธาตุ เป็นสารที่ร่างกายต้องการในปริมาณอันน้อยนิด เพื่อไปช่วยในกระบวนการปฏิกิริยาทางชีวเคมีภายในเซลล์ให้ดำเนินไปได้ วิตามินและแร่ธาตุจึงเป็นสารอาหารจิ๋ว (Micronutrients) ซึ่งถ้าหากร่างกายขาดแคลนสารดังกล่าวเป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดโรคขึ้น แต่พอรู้สาเหตุแล้วได้สารนั้นๆ ชดเชย อาการก็จะหายไป

ข้อสำคัญ คือ ร่างกายผลิตวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ไม่ได้ เราจึงต้องบริโภคอาหารหรืออาหารเสริมเพื่อชดเชยให้ร่างกาย

วิตามินและเกลือแร่มีกี่อย่าง ?

ปัจจุบันเราพบว่ามีวิตามิน 14 ตัว 4 ใน 14 จะเก็บรักษาไว้ในไขมันของร่างกาย (FAT soluble Vitamins) ได้แก่ วิตามิน A, D, E และ K ส่วนอีก 10 ใน 14 ตัว เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ (Water soluble Vitamins) ได้แก่ วิตามิน C, โคลีน (Choline), ไบโอติน (Biotin) และวิตามิน B ทั้ง 7 ตัว คือ B1 (Thaimine), B2 (Riboflavin), B3 (Niacin), B5 (Pantothenic Acid), B6 (Pyridoxine), B9 (Foly Acid) และ B12 (Cobalamin)

การเจริญเติบโตของร่างกาย การย่อยอาหาร ความตื่นตัวของจิตใจ และการต่อสู้กับเชื้อโรคต้องอาศัยวิตามิน เพราะวิตามินช่วยให้ร่างกายสามารถใช้คาร์โบไฮเดรต, ไขมันและโปรตีน และวิตามินยังช่วยเป็นตัวกลางเสริมสร้าง หรือเร่งปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย แต่วิตามินไม่ได้ให้พลังงานโดยตัวมันเอง แต่ร่างกายต้องการวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเอาไว้ใช้งานเมื่อจำเป็น

นอกจากวิตามินทั้ง 14 ตัวแล้ว ร่างกายยังต้องการเกลือแร่อีก 15 อย่างที่ใช้ในการกำกับดูแลการทำงาน และบำรุงรักษาโครงสร้างของเซลล์ แร่ธาตุสำคัญๆ ก็มีอาทิเช่น แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, แม็กนีเซียม, โครเมี่ยม, ทองแดง, ฟลูออไรด์, ไอโอดีน, เหล็ก, แมงกานีส, โมลิบดีนัม, เซเลเนียม, สังกะสี, คลอไรด์, โปแตสเซียม และโซเดียม

ใครต้องการวิตามินเสริม ?

จากความรู้ที่ว่าร่างกายต้องใช้วิตามินและแร่ธาตุเพื่อกิจกรรมต่างๆ ทางเซลล์ ทำให้มีการใช้จุดแข็งนี้ไปตั้งคำถามเชิงประชาสัมพันธ์ว่า

"ทุกวันนี้ท่านได้รับวิตามินเสริมพอแล้วหรือ ?"
พอเจอคำถามแบบนี้เข้า ท่านก็จะฉุกคิดและเชื่อคำโฆษณาที่ว่า เราอาจจะได้วิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอแล้วก็ออกไปหาซื้อมาบริโภค

ความจริงมีอยู่ว่าองค์กรต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา เช่น สมาคมเบาหวาน, องค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และสภาวิจัยแห่งชาติ ตลอดจนองค์การแพทย์ใหญ่ๆ หลายแขนงต่างยืนยันว่า คนเราส่วนใหญ่ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอแล้วจากอาหารประจำวันที่สมดุล ยกเว้นบางคนที่มีความเสี่ยงสูงจึงต้องใช้วิตามินเสริม

จริงๆ แล้วผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คนเราควรได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารหลักมากกว่าอาหารเสริม เพราะว่าอาหารจริงอุดมด้วยสารอาหารสารพัดรวมทั้งสารเคมีจากพืช (Phytochemicals) ซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างเช่น เต้าหู้ ซึ่งช่วยลดอาการที่เกิดเมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือน

อย่างไรก็ตามมีบางคนที่ไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ เพราะคนๆ นั้นมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ต้องด้วยสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยพบว่า มีผู้คนเพียง 1 ใน 10 ที่บริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่เพียงพอ การรับประทานอาหารน้อยมื้อลง การจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก การเลือกบริโภคอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลและไขมัน ล้วนนำไปสู่สภาพทุพโภชนาการ คนเหล่านี้จึงเข้าข่ายที่ควรจะได้รับอาหารเสริม

คนที่เข้าข่ายต้องได้วิตามินเสริม ได้แก่

1. ผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่รู้รสและกลิ่นอาหาร หรือมีปัญหาของการขบเคี้ยวเนื่องจากฟันไม่ดี นอกจากนี้ผู้ที่มีอายุกว่า 65 ปี ร่างกายจะต้องการ วิตามิน B6, B12 และวิตามิน D เสริม เพราะร่างกายดูดซึมวิตามินดังกล่าวได้ไม่ดีเหมือนเดิม ส่วนผู้หญิงที่ไม่ได้รับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน อาจต้องรับประทานวิตามิน D เสริมเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า วิตามินรวมช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในผู้สูงอายุ

2. ผู้ที่กำลังลดความอ้วนอย่างจริงจัง โดยรับประทานอาหารวันละไม่เกิน 1,000 แคลอรี หรือคนที่รับประทานอาหารได้น้อยชนิดลงเพราะแพ้อาหาร

3. ผู้ซึ่งเป็นโรคของทางเดินอาหาร เช่น โรคตับ, ถุงน้ำดี, ลำไส้และตับอ่อน คนที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้จนมีระบบดูดซึมอาหารบกพร่อง

4. คนที่ยังสูบบุหรี่อยู่ จะมีระดับวิตามิน C ต่ำลงจนมีอนุมูลอิสระ (Free radical) เพิ่มมากขึ้น

5. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินพอดี จะมีการรับประทานอาหารไม่ดีพอ

6. หญิงตั้งครรภ์ หรือแม่ที่กำลังให้ลูกดูดนมแม่ จะมีความต้องการสารอาหารบางอย่างเพิ่มเป็นพิเศษ เช่น กรดโฟลิก, เหล็ก และแคลเซียม

7. กลุ่มเสี่ยงสูงบางคน เช่น คนที่กินอาหารมังสวิรัติอาจขาดวิตามิน B12 คนที่ดื่มนมน้อยหรือไม่เคยถูกแสงแดด อาจต้องเสริมด้วยแคลเซียมและวิตามิน D

ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริโภควิตามินและแร่ธาตุเสริมได้นำไปสู่การเสริมจนเกินพอ มีการรับประทานวิตามินวันละเป็นกำมือ ซึ่งเกินความต้องการของร่างกาย บางอย่างอาจเป็นอันตรายเกิดแก่ชีวิตได้

ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์