เรื่องลึกลับ

ยาวมากนะ อ่านไม่ไหวก็ไม่ต้องอ่าน อย่ามาพิมพ์ด่า หรือใช้วาจาไม่สุภาพ

ชายแปลกหน้าวัยใหญ่คนนึง แต่งตัวเรียบร้อย ในมือมีกระเป๋าเอกสาร"เจมส์บอนด์"แบบที่คนรุ่นแรกๆของปี2500นิยมถือ
เดินมาหยุดยืนที่หน้าบ้าน ชะเง้อคอมองเข้ามาในห้องแถวเรือนไม้รุ่นเก่า
แม่เดินออกไปถามว่ามาหาใคร ชายคนนั้นยิ้มแล้วทำท่าฟังเสียงเด็กทารก
ที่ร้องอยู่ในบ้านห้องแถว ยิ้มแล้วบอกแม่ว่า "เค้ามาแล้ว เลี้ยงให้ดีๆนะ" แม่ก็งงๆ
แล้วเค้าก็เดินจากไปเงียบๆเพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานีหน้าบ้าน....
ผมย้ายบ้านมาเรียนอนุบาลที่ศรีราชา จำได้ว่าเคยเดินตามเพื่อนคนนึงไปเที่ยว
ผมเห็นรางรถไฟ เพื่อนผมบอกปวดฉี่ วิ่งไปฉี่ข้างทาง ผมยืนมองตัวอะไรซักอย่าง
ที่มันอยู่ไกลๆตัวเล็กๆ แล้วมันค่อยๆใหญ่ขึ้นๆๆเรื่อยๆ จนมีคนมาอุ้มร่างผมลอยขึ้น
ได้ยินเสียงตะโกนว่า "เฮ้ยลูกใคร..เกือบโดนรถไฟชนตาย"ผมร้องให้
กว่าจะย่างเข้าสู่วัยรุ่น ผมผ่านความตายมาไม่ต่ำกว่า3ครั้ง จากอุบัติเหตุที่ผมทำเอง
เล็กๆน้อยๆประเภหัวฟาดพื้นสลบอีก3ที เตะไม้แหลมเสียบเข้าเท้า ไฟช๊อตหงายท้องตึง
ตกโต๊ะจนปากฉีกร่อนจากเหงือกซ้ายจรดขวาเหงือกล่างต้องวางยาสลบเย็บ
อันนี้ไม่นับ เล็กกว่านี้แต่สาหัสอีกเป็นปกติ แม่แทบห่างตาผมไม่ได้เลย ห่างเมื่อไรก็โรงหมอเสมอๆ
ตอน ม.6ผมไปนอนค้างบ้านเพื่อน กำลังจะหลับ ผมเห็นใครไม่รู้มานั่งหัวโด่อยู่ในผ้าห่มผม
ในสติผมๆรู้ว่าไม่ใช่คน ผมยังเห็นไอ้เอนอนอยู่บนเตียงของมัน แล้วไอ้นี่ที่นั่งอยู่นี่ใคร ผมโกรธ ก็เลยลุกขึ้น มองเห็นตัวเองหลับอยู่ แล้วผมก็เตะ
ร่างนั้นกระเด็นเป็นก้อนลมออกไป แล้วผมก็บอกว่าเดี๋ยวกุ.จะเอาตัวลุกมาดูมึ..งถ้ายังอยู่ สวยแน่ๆ
ผมล้มตัวนอนกลับเข้าร่าง แล้วลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่ง อืม..เงียบเป็นปกติ ไอ้เอยังหลับที่เดิม
ธรรมดาแล้วผมกลัวผีมาก แต่วินาทีที่ผมเจอผมกลับไม่กลัว ลุกขึ้นเตะซะเฉยๆ
อาจจะด้วยเวลานั้นสัญญชาตญานของผมบอกตัวเอง ผมก็เป็นวิญญานเหมือนกัน
ไม่จำเป็นที่วิญญานต้องกลัววิญญานด้วยกันมั๊ง ช่วงที่ผมลงนอนแล้วลืมตา เป็นช่วงที่ประทับใจมากๆ มันเนียนๆ ไม่มีรอยสติสะดุ้ง เป็นปกติแบบคนตื่นอยู่แล้วทั่วไป
ผมไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นได้ยังใง ได้แต่ตั้งสมมุติฐานไปเรื่อยว่าน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้
ตื่นเช้ามา ผมไม่ได้เล่าให้ใครในบ้านไอ้เอฟัง แต่ไปตามถามกับเพื่อนอีกคนที่อยู่หมู่บ้านนี้มารุ่นแรกสุด
มันบอกว่า บ้านไอ้เอนี่แหละ ที่คนงานแทงกันตายคาห้องน้ำตอนก่อสร้าง
ห้องไอ้เอก็เป็นห้องเดียวที่ติดกับห้องน้ำ
เรื่องมันน่าจะจบแค่นั้น ถ้าไม่บังเอิญว่า อาทิตย์ต่อมา ไอ้เอเพื่อนผม มีอันเป็นไปในสติ.....

......................................................


สัปดาห์ต่อมา แม่ไอ้เอมาหาผม บอกว่าให้ไปดูเอ มันแปลกๆ ผมไปหามันนั่งคุยกะมัน มันก็ดูคุยได้ยิ้มได้หัวเราะได้แต่ตาลอยๆ
มันบอกผมว่า มันอยากไปเที่ยวจัง ผมเลยเป็นธุระพามันไปเที่ยวสิ่งที่มันว๊อนท์
หลังจากผมพาเอกลับจากซ่อง ผมก็นึกสบายใจว่า..เออ..เอมันคงดีขึ้นได้ปลดปล่อยอะไรๆซะบ้าง
กลับไม่เป็นอย่างนั้น เอมันเริ่มตาลอยตาขวาง จนแม่มันให้ผมช่วยพาเอไปบวช
สงบจิตใจ ผมก็ช่วยพาเอเข้าไปเป็นผ้าขาวรอการบรรพชาที่วัดชื่อดังแห่งนึงย่านนนทบุรี
ผ่านไป3วัน เกิดเรื่อง เมื่อเอ ขึ้นนั่งแท่นแสดงธรรมเทศนาของท่านเจ้าอาวาส
แล้วแสดงตนเป็นเจ้า ต้องช่วยกันจับลงมา ผมเลยต้องรับภาระส่งเพื่อนเข้าศรีธัญญาตามที่แม่มันขอมา
จนป่านนี้ผ่านไปเกือบ20ปี เพื่อนเอของผมอาการดีขึ้น แต่ไม่สามารถกลับมาอยู่ในสังคมคนสติสมประกอบได้
ที่แย่คือ จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้บอกใครที่บ้านเอ ว่าผมเจออะไรที่ห้องของมัน
ส่วนตัวผมเอง ค่อยๆได้พบเจอกับอะไรๆที่เข้าใจยากมากขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

..........................................................................


พอจบมัธยม ผมได้โอกาสงามในชีวิต ทีมที่ผมร่วมงานอยู่ได้โชว์ตัวออกทีวี เป็นรายการสดที่ใหญ่มาก
พวกเราได้เฮกับสัญญาที่มีบริษัทๆนึงขอให้เราเซ็นเพื่อร่วมงานกัน
> >
เราพากันกลับยังรังรวม แล้วพี่หัวหน้าทีมก็บอกว่า กุให้ร้านวิดีโอข้างๆเค้าอัดเทปไว้ ไปดูกัน
พวกเราพากันพาเหรดเข้าร้านซ้งล่อเป้าวิดีโอ เฮียที่ร้านก็บอกว่าเฮ้ยสบายวันนี้ไม่มีคนเท่าไร นั่งดูที่นี่เลย
เครื่องเฮียชัดสุด พวกเราจับจองพื้นที่เกือบติดจอ ดูบันทึกการแสดงด้วยความเฮฮามาก
สักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เฮียรับสาย แล้วตะโกนถามหาชื่อผมว่ามีรึป่าว ผมงง เฮียก็งง
เฮียบอกว่ามีคนโทรมาหาลื้อ
> >
ผมก็กะลังสนุกแต่ก็ต้องเดินมารับสายด้วยความงง ก็ใครจะโทรมา ขนาดผมแอบมารวมทีมนี่
ผมยังไม่ได้บอกพ่อแม่พี่น้องเลยว่ามีรังอยู่ที่ไหน (ไกลจากบ้านมากๆครับ)
แล้วร้านวิดิโอนี้เบอร์โทรอะไร รู้ได้ใงว่าจะโทรมาเจอผมที่นี่ งง
> >
ผมรับสาย สวัสดีทักทาย เสียงตอบมาเป็นชายแก่ๆคนนึง แทนตัวเองว่าลุง
ผมถามว่าลุงเป็นใครครับ รู้ได้ใงว่าผมอยู่ร้านวิดีโอ แกบอกว่าอย่ารู้เลยนะ ขอให้ตั้งใจฟัง
แกบอกว่า เธอชื่อเล่น...ชื่อจริง..นามสกุล..เกิดวันที่..เดือน..ปี..ที่อำเภอ..จังหวัด..ลักษณะบ้านที่เกิด
(ผมไม่ได้คลอดในโรงพยาบาล)เป็นวันแรม2ค่ำ เวลาตกฟาก...
ผมก็เอ๋อๆไป เพราะไม่ได้รู้ว่าตัวเองข้างขึ้นข้างแรมอะไร ตกฟากกี่โมง เลยบอกว่าลุงจะมาอำอะไรครับ
ลุงก็บอกว่าฟังนะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไป.....แกก็พูดไปเรื่อยแหละครับ..ผมก็ฟังไปตาดูจอทีวีไปไม่ใส่ใจมากนัก
และสุดท้ายแกบอกว่า มีสิ่งนึงที่จะทำให้ชีวิตผมไปถึงจุดสูงสุด ผมถามว่าอะไรครับ แกก็บอกว่าต้องเปลี่ยนอาชีพ
จากตรงนี้เปลี่ยนไปเป็น.....พร้อมสำทับผมว่าห้ามบอกใครในสิ่งนี้
> >
นั่นคือเรื่องสุดท้ายที่ลุงแกพูดก่อนวางสายไป ผมเองก็งงแต่นาทีนั้นไม่มีอะไรเฮเท่ากับการได้ออกทีวี
ก็เลยไม่ใส่ใจมากนัก ได้แต่ฟังกับจำไว้ มีคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาก็ยังหาคำตอบไม่ได้
หมอดูอะไร...ทำใมรู้ละเอียดเรื่องเราดีแท้

.......................................................................


เกือบปีต่อมาที่ผมได้มีโอกาสเปิดตู้ที่แม่ใช้ให้มาไขกุญแจเอาของสำคัญ
ผมเจอปฏิทินร้อยปีเล่มเก่าฝุ่นจับวางอยู่ก้นตู้ เลยลองหยิบมาเปิดดู แล้วก็พลิกไปหน้า พศ.เกิดของผม
ผมนั่งนิ่ง เวลาตกฟากและข้างแรมของผม ในปฏิทินนี้ตรงกับที่ลุงหมอดูคนนั้นว่าไว้เลย
ผมมาถามแม่ว่าจำวันข้างแรมผมได้มั๊ย ว่าบอกจำไม่ได้หรอก ลูกตั้งเยอะ จำวันเกิดได้ยังไม่ถ้วนด้วย
ผมถามอีกว่าปฏิทินร้อยปีนี่มีใครเอาออกมาดูมั๊ย แม่ก็บอกตู้ไม่ได้ไขกุญแจมาตั้งหลายปีแล้ว
ใครจะเอามาดู ผมได้แต่เงียบงันงุนงง...อืม.หมอดูระดับคนเหนือคนมีจริงด้วยหรือเนี่ย
เพราะผมไม่เชื่อว่าดูหมอจะเข้าถึงความสามารถระดับเกินธรรมชาติ
ดูได้ก็แค่พื้นๆ ต้องมาถามเราก่อนด้วยซ้ำไปว่าเกิดวันที่อะไรตกฟากกี่โมง ตอนจบมีค่ายกครู
แต่ลุงคนนี้ ไม่ต้องเสียซักบาท ไม่ถามรายละเอียดอะไรด้วย แค่บอกให้เราฟังอย่างเดียว
แล้วสิ่งสุดท้ายที่ลุงบอกไว้ มันจะจริงมะวะเนี่ย(ผมคิด)
ถ้าจริงละผมโคตรกลัวเลย
> >
ผมเลยพยายามไปให้ไกลจากสิ่งที่ลุงบอกมาที่สุดเท่าที่จะทำได้
ครั้งเดียวที่แกโทรมาหาผม หลังจากนั้นถึงผมอยากให้แกโทรมาผมก็ไม่เคยมีลุงโทรมาหาอีก
เพียงแต่ผมรู้ว่า แกสามารถโทรหาผมได้ทุกที่ๆผมอยู่ ถ้าแกต้องการโทร
ทำให้ชีวิตรู้สึกเหมือนมีใครบางคนชำเลืองมองเราได้ทุกที่ๆเราไป ทุกสิ่งที่เราทำ>>

...........................................................................


ผมได้ภรรยา แล้วพากันย้ายมาอยู่ก้นซอยวัชรพล
ในยุคนั้น ซอยวัชรพลเปลี่ยวมากๆ น่ากลัวและแสนไกลจากเมือง เพราะยังไม่มีทางด่วน
ซอยวัชรพลก่อนสมัยพฤษภาทมิฬเลยเป็นที่นิยมของโจรจี้ปล้นแท๊กซี่
กว่าจะถึงหมู่บ้านที่ผมอยู่ ต้องวิ่งตรงไปจาก รร.รัตนโกสินทร์สมโภช
ตรงไป1 กิโลเมตรเต็มๆที่ไม่มีไฟถนน ไม่มีบ้านคนสองข้างทาง ทุ่งนาล้วนๆ
ผมเช่าบ้านทาวน์เฮาส์เล็กๆในหมู่บ้านเล็กที่มีคนอยู่ไม่กี่มากน้อย
หลังที่ผมอยู่ๆหน้าศาล>>
หมู่บ้านเล็กๆที่น่าจะสงบดี แต่กลับมีคนพากันล้มตายเรื่อยๆ
ไอ้เจ้าคนขับรถปูนคันเล็กๆไหลตาย สักพักกองขยะหลังหมู่บ้าน ก็มีพ่อตายิงลูกเขยตายแต่เช้า
บ้านติดกันกับผมก็ลูกเขยตายหน้าหมู่บ้านเพราะอุบัติเหตุ
อาทิตย์ต่อมา คนตายก็มาลากเอาวิญญาณเมียตายตามไปด้วยอุบัติเหตุจุดเดียวกัน
น้องสาวคนเล็กของคนตายก็เพี้ยนวันดีคืนดีก็ขึ้นระเบียงชั้น2โดดลงสนามหญ้า
โดดแล้วโดดอีก เพี้ยนได้ที่ก็คว้ามีดไล่แทงพี่ชายคนกลางโดนพี่เตะจนตกบ้าน
ผมก็มีปัญหากับเจ้าของบ้านจนต้องย้ายเข้าไปหาเช่าใหม่ด้านในลึกเข้าไป
มีกลุ่มหนุ่มๆเซลล์แมนขายเครื่องกรองน้ำมาอยู่แทน
อ้าว..สักพักไอ้หนุ่มอายุไม่เท่าไร หัวใจวายตายคาบ้านที่ผมเคยอยู่
ไม่น่าเชื่อว่าหมู่บ้านเล็กๆที่สงบเงียบตั้งแต่5โมงเย็นมันจะมีคนตายบ่อยตายตามกันอะไรขนาดนี้
> >
...........................................................................

ผมเริ่มรู้สึกอะไรๆกับอุปทานมากขึ้น มันจะมาแว๊บๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
อยู่ดีๆก็มีความรู้สึกเหมือนเห็นไฟไหม้ เห็นอุบัติเหตุ เห็นคนตาย มันบ่อยๆจนเริ่มสงสัย
ว่าตัวเองเป็นบ้า ผมต้องสวดมนตร์อย่างน้อยอาราธนาพระปริตรทุกครั้ง ที่มันกระตุกเข้ามาในใจ
แล้วพอมันมากๆเข้า ผมเริ่มจดบันทึกเวลาที่ความรู้สึกนั้นเข้ามา
ที่น่าแปลกคือ ในหนังสือพิมพ์วันต่อมา จะมีเหตุการณ์ณ์นั้นเกิดที่ประมาณเวลานั้นทุกครั้ง
อย่างนานที่สุดคือห่างกัน24ชั่วโมง แต่ตรงเข็มเวลาเดียวกัน
ครั้งนึงผมบอกเพื่อนๆว่า อึดอัดว่ะ เหมือนนอนหงายแล้วโดนทับด้วยซีเมนต์
แล้วพอแหงนมองลาดไปตามแผ่นซีเมนต์ มันยาวมากๆจนสุดนู่นมีแสงลอดเข้ามา
เหมือนนอนอยู่ใต้ตึกที่มันถล่มแต่เราดันไม่ตาย หายใจรวยรินอยู่ใต้นั้น ไปไม่ได้ขยับไม่ได้
24ชม.ต่อมา ข่าวด่วน โรงงานถล่มมีคนตายเยอะมาก ผมก็ได้แต่ปลงอนิจจัง
บางครั้งผมก็แว่บภาพเครื่องบินตก 24ชั่วโมงต่อมามีข่าวเครื่องบินตก ถึงจะที่ต่างประเทศ
แต่ก็ตรงเข็มนาฬิกาเดียวกับที่ผมจดไว้
มันบ่อยครั้งจนเป็นทุกวัน ผมเริ่มไม่สนุกซะแล้ว การรับรู้ว่าจะมีคนตายแบบไหนอย่างไร
กับการช่วยอะไรไม่ได้เลยมันไม่น่ายินดีนะครับ
คืนวันนึงผมนอนกำลังจะหลับ ผมได้ยินฟ้าร้องจากสองฝั่งตรงข้าม
เสียงฟ้าพิโรธเคลื่อนที่เข้าหากันแล้วชนกันสนั่น เกิดเป็นเสียงล้อยางรถคันมหึมา
บดอัดดังเอี๊ยอดอ๊าดกับพื้นถนน เสียงลากยาวจากแผ่นฟ้าน่าทรมานใจมากๆ
ผมหันไปบอกภรรยาว่า คนไทยจะฆ่ากันนะ
3วันต่อมา เหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็เกิดขึ้น ผมไม่ได้คิดอะไรมากกว่ากักตุนเครื่องใช้อาหารไว้ก่อน
ผมรู้แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ช่วยใครได้

...................................................................................

ผมนั่งรถตู้รวมกับพรรคพวกออกจากเวทีคอนเสิร์ทที่พวกเราไปซาวน์เชคกันมา
จากสนามกีฬาทัพบก วิ่งมาจอดติดไฟแดงที่แยกสุทธิสารเป็นคันที่หนึ่ง
เราจะเลี้ยวขวาเข้าซอยสุทธิสาร มุ่งหน้าไปออกรัชดา
ผมตะหงิดๆใจมาตั้งแต่รถเคลื่อนตัวว่าจะมีอะไรซักอย่างร้ายๆ
แต่คราวนี้ ผมเริ่มรำคาญ ผมบอกตัวเองว่า ผมไม่สวดมนตร์ อะไรจะเกิดต้องปล่อยมัน ลองดู


ผมนั่งหลังสุดด้านซ้ายเหม่อมองออกไปทางที่รถฝั่งขาเข้าเมืองกำลังวิ่งมา
ทุกคนในรถชะโงกตัวไปเอนจอยด้านหน้ากันหมด รถได้ไฟเขียวแล้ว
ตาน้องคนขับรถตู้ขี้ง่วงก็ใส่เกียร์เดินหน้า
ผมเหม่อมองออกไป เห็นไฟสีส้มๆวิ่งเข้ามาที่แยก ใจก็คิด ทำใมมันไม่ชะลอตัววะ
ถ้ามันไม่ชะลอมันต้องบีบแตรบอกเราสิ เอ๊ะนี่ของเราก็ไฟเขียวนี่หว่า
เราก็เคลื่อน มันก็ไม่หยุด ผมเริ่มเลิ่กลั่ก แน่ใจแล้วว่าได้ปะทะกันแน่ๆ
ตาน้องไม่เห็น เพื่อนๆไม่เห็น ผมตะโกนสุดเสียงหลง
ตาน้อง...เบรก..เบรก..มันไม่จอด...เบรก...
ตาน้องตกกะใจ กระทืบเบรกรถหัวทิ่ม จอดจึ๊กทุกคนแทบกระเด็นตกเบาะ
รถพ่วงบรรทุกน้ำมันฝ่าไฟแดงพุ่งตัดหน้ารถตู้เราไปครึ่มๆๆๆ
ไกล้ขนาดยื่นมาอีกเซนต์เดียวโดนชัวร์ๆ ไอ้หมูเด็กวงนั่งข้างตาน้องตาค้าง
ทั้งวงทรงตัวแล้วลุกขึ้นมองตามรถพ่วงบรรทุกน้ำมันคันนั้นไปจนสุดตา
รถน้ำมันคันนั้น มันทำเหมือนไม่เห็นไฟแดง ไม่เห็นรถเราเลยด้วยซ้ำ
ตาน้องน่ะตาเหลือกแทบขี้แตกตายคาพวงมาลัย

................................................................................

กลับมาถึงฐาน ทุกคนลงมาพูดคุยกันเซงแซ่ว่า เราตายแล้ว
มือกลองบอกว่า ชนแบบมุมฉากนะ ต่อให้แค่เกี่ยวกัน มันจะดึงรถตู้ด้านข้างเอียงเข้าหา
แล้วมันจะรูดตัวดึงด้านข้างออกฉีกแคว่ก แล้วค่อยระเบิด
ถ้าชนข้างๆเต็มลำฝั่งเราตายเรียบเพราะแกนั่งหน้าผม แกรู้เพราะแกอยู่ป่อเต๊กตึ๊งเป็นงานอดิเรก
คนอื่นแย้งว่าตายหมด ผมก็ตำหนิตาน้องมัวแต่ตาปรือไม่มองซ้ายขวาก่อนออกรถ
แกก็บอกว่าอย่าเพิ่งพูดเพราะแกยังลุกไม่ขึ้นอยู่ ผมเลยใส่เลยว่า
จะรอให้เราไปคุยกันในนรกเหรอพี่น้อง หรือโทษกันตอนนอนเตียงข้างๆกัน
เกือบพาผมไปตายทั้งวง ยังมาทำสำออยอีก
ไอ้หมูบอกว่า พี่ๆ ผมยกชีวิตให้พี่เลย ผมน่ะตายแล้วแน่นอน นึกถึงแม่เลย
เต็มหน้าเลยพี่ ไม่เคยเห็นรถน้ำมันวิ่งไกล้ขนาดนี้ในชีวิต
ทุกคนยืนยันว่ากำลังเมาท์มันส์ไม่มีใครมองด้านซ้ายเลยแม้แต่คนเดียวยกเว้นผม
ผมก็หัวเราะๆ บอกตาน้องว่าไปๆส่งผมต่อที่บ้าน


บ่ายวันต่อมา ผมกลับไปเจอเพื่อนที่งานคอนเสิร์ท คนเยอะมากมหาศาล
มีไทยรัฐวางอยู่ในเต็นท์พักเล่มนึง ไม่รู้ทีมงานคนไหนเอามา
ช่างเถอะ ผมหยิบมาอ่านหน้าหนึ่ง ตัวชาดิกกับข่าวที่เห็น
วงดนตรีซิ่งรถพุ่งตกคูตายเรียบ6ศพ
พลิกดูข่าว ปรากฏว่าเป็นวงท้องถิ่น แถวๆอ่างทองที่วิ่งงานละแวกจังหวัดนั้น
เสร็จจากงานนึงขับรถไปต่ออีกเวทีที่จังหวัดติดกัน พลาดท่าเสียหลักพุ่งลงข้างทางจมน้ำตายยกวง
ในข่าวเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง
โอ้..แม่เจ้า..เมื่อคืนผมรอดจากรถน้ำมันตอนห้าทุ่มสิบห้า
ผมจำได้เพราะผมยกนาฬิกาดูหลังจากเรารอด
สิบห้านาทีต่อมา อีกวงตายยกวง
มันคืออะไร.....บังเอิญ โชคดี โชคร้าย ช่างสังเกตุ ประมาท ดวง
ผมไม่รู้จะคิดยังใงเลยเอาให้เพื่อนๆอ่าน ทุกคนอึ้งหยั่งกะดูหนังเอ๊กซ์ไฟล์

...................................................................................


มาถึงตรงนี้ คงจะมีคนสงสัยว่าแล้วผีล่ะ เคยเจอรึยัง
ผมอยากถามว่า ใครเคยหลับทับเส้นบ้าง หลับแต่ตัวสติไม่หลับขยับไม่ได้
ผมเป็นบ่อย ตอนที่ออกทัวร์ไม่ได้พักได้ผ่อน บางทีก็สู้กัน สู้ได้ก็ยกแขนขึ้น
สู้ไม่ได้ก็ปล่อยมัน หลับไปเหอะ สบายดีด้วย นอนเต็มตาดี
> >
มีอยู่ครั้งเดียว เมื่อตอน ป.6 ที่ผมหลับแล้วตื่นมาขยับตัวไม่ได้ ลืมตามองเห็นคนตัวสีดำนั่งทับพุง
เห็นหัวคอไหล่ลำตัวชัดๆ ดำทะมึน และดำกว่าสีดำ ดำแบนๆบางๆเหมือนกระดาษ
เหมือนสีดำของอีกมิติ ที่เรายื่นมือเข้าไปในสีดำนั้นแล้วมันจะโผล่ไปอีกอวกาศ
มันเป็นเงาดำ แบน ลึกที่หนักมากๆ ผมทำอะไรไม่ได้ได้แต่นอนร้องให้ ร้องจนพ่อผมต้องวิ่งมาดู
มาเป่ากระหม่อมให้ผม แล้วปิดเทอมนั้น ผมก็บวชเณรภาคฤดูร้อน
ผมไปบวชที่ราชบุรี หนึ่งเดือนนั้น เราจะมีวันพระ4ครั้ง
ทุกวันพระ เณรๆทั้งหลายจะพากันกลัวผี ไม่มีใครกล้านอนดึก รีบๆหลับซะให้ผ่านคืนวันพระได้ด้วยดี
บางคนกลัวผีขนาดปวดท้อง ต้องลุกมาอึแล้วห่อวางไว้ข้างมุ้ง
ในคืนวันพระที่3 ผมดันตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงคนลากโซ่ เดินผ่านข้างห้อง
พื้นปูน กับเสียงแกรกกรากของโซ่ และเสียงตุ้มเหล็กกระแทกพื้นเป็นจังหวะ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
น่าตื่นเต้นดี
> >
สึกจากเณรกลับมาบ้าน เข้าเรียนต่อ ม.1
เย็นวันนึง ผมลงมาจากชั้นบน เดินลงบันไดมาได้3-4ขั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลัง
ผมหันกลับไปมอง ที่หัวบันไดขั้นบนสุด ผมเห็นเท้าคู่ใหญ่สีดำมะเมื่อมยืนอยู่
แต่คราวนี้ ไม่ใช่สีดำอย่างที่เคยเห็น คราวนี้เป็นเท้ามีเล็บเท้าปกติแต่ท่าทางเป็นคนผิวคล้ำ
ยืนอยู่บนพื้นชั้นสองเหมือนจะรอก้าวลงตามมา
ที่น่ากลัวคือผมเห็นว่ามีแค่เท้าคน ไม่มีตัว ไม่มีขา
ไม่รอช้า ผมโกยอ้าวสับเกียร์วิ่งลงสุดชีวิตไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เพราะตอนนั้นข้างบน
ผมอยู่คนเดียว

.......................................................................................


คืนวันนึงตีสองแล้ว ผมกำลังจะนอน อยู่ดีๆหมาถนน ที่หมู่บ้านมารวมตัวกันหน้าบ้านผม
พากันหอนครวญครางที่หน้าบ้านผม หอนระงม กันอยู่5-6ตัว ผมกับแฟนก็ได้แต่มองหน้ากัน
ไม่รู้จะพูดอะไร ปิดไฟนอนดีกว่า ผมตะแคงกอดแฟน แล้วก็รู้สึก ที่นอนข้างหลังผมน่ะยุบตัวลง
มีใครบางคนกำลังนอนอยู่ข้างหลังผม
ผมเริ่มใจคอไม่ดี แล้วทันใดก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ผมตั้งสติรีบคว้าโทรศัพท์ เพราะรู้ว่าโทรเข้าบ้านกลางดึกตีสองกว่าๆนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ปลายสายเป็นเสียงป้าของแฟนผมบอกว่า บอกแตงด้วย ว่าพ่อเค้าเสียแล้ว
ผมรับคำอย่างสงบนิ่ง ถามไถ่สาเหตุ เวลาอีกนิดหน่อย แล้ววางหูไป
แฟนผมที่นอนเอียงคอมองอยู่ไม่ทันได้ถามอะไร
ผมกอดเธอไว้แล้วกระซิบเบาๆว่าทำใจดีๆนะ พ่อแตงเสียแล้วเมื่อซักครู่นี่เอง
เธอกรีดร้องสุดเสียง ผมต้องกอดเธอไว้แน่นๆ แตงร้องให้จนแทบสิ้นสติ
ผมเก็บเสื้อผ้า ไปส่งเธอกลับต่างจังหวัดตอนประมาณตีสี่
อืม...นี่เป็นคนที่5ของบ้านแฟนผมที่ตายในรอบปีนั้น


แตงมีญาติน้อย ทั้งตระกูลมีไม่กี่คน แต่รอบปีเดียว ญาติผู้ใหญ่ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
ปีเดียว5คน กำลังจะตามไปอีกคนที่นอนรออยู่ในโรงพยาบาล
ผมต้องทำหน้าที่ช่วยงานทุกศพของบ้านเธอ จนสนิทกับสัปเหร่อ
แต่งานศพพ่อของแตง นี่ดูจะหนักหนากว่า เพราะต่างจังหวัดยังนิยมนอนเฝ้าเป็นเพื่อนศพ
ผมกับแตงและป้าของเธอ นอนเฝ้าศพที่ตั้งอยู่หน้าเมนเผา
มีเพื่อนฝูง ญาติๆแวะเวียนมาหาจนไม่ค่อยเหงาหรือน่ากลัวเท่าไร
บางคืนผมตีสองตีสามก็เดินเล่นแล้วไปหยุดยืนพิงเสามองเหม่อเข้าไปในเตาเผา
บางคืนหมาก็เห่าใส่ต้นไม้พุ่มเล็กๆ ผมตามไปวนดูห่างๆ
พุ่มไม้เล็กๆสูงแค่ตัวคน แต่หมามันมายืนเห่ากรรโชกใส่ แบบฟ้องเราว่ามีคนอยู่ตรงนั้น
เพราะจุดที่มันมองไม่ใช่พื้นดิน แต่มันมองขึ้นไปสูงระดับหน้าอกเรา แล้วเห่ากระแทกๆ
ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แล้วถอยๆๆ เห่าจนต้องไล่ให้ไปที่อื่น รำคาญ
> >
พอถึงวันเผา รองเจ้าอาวาสที่สนิทกับบ้านแฟนผมก็คุยกับผมว่าบ้านนี้จัดงานเยอะจัง
นี่ท่าทางอาจต้องจัดอีกงาน ผมก็บอกว่าถ้าอีกงาน ทุกคนคงช้ำมากๆ
ท่านเลยบอกว่า โยมลองดูนะ พอเอาศพลงเข้าเตาเผา ขาตั้งโลงทั้งสองอัน ให้โยมล้มมันนอนลงซะ
ท่านบอกแก้เคล็ด ลองทำดู ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร
ผมเลยจัดการล้มขาตั้งโลงลงนอนหลังจากเอาศพลง เพื่อเข้าเตา
ทุกอย่างเรียบร้อย ที่แปลกคือ อีกงานนึงที่ว่าต้องจัดต่อมาแน่ๆ กลับไม่ต้องจัด
ถึงแม้คนไกล้ตายจะอายุมาก ตายเพราะชราภาพ แต่เราจัดงานศพอีกงานหลังจากงานพ่อแฟนผมถึง3ปี
ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย ขอให้สบายใจทำไปก่อน ล้มขาตั้งโลงแก้เคล็ดตายตามๆกันครับ>>

......................................................................................


จบแค่นี้แล้วกันนะ กลัวอ่านกันไม่ไหว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์