รอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง ...ครั้งหนึ่งนักเขียนชาวจีน โก้วเล้ง เคยค่อนแคะนักเขียนคนอื่นซึ่งลอกเรียนวิธีการเขียนของเขาว่า " ลมที่ตนเองผายออกมายังหอมกว่าของคนอื่น..." ที่ขัดแย้งขบขันคือ ครั้งหนึ่งเขาก็สูดดมที่คนอื่นผายเช่นกัน!
แต่การที่โก้วเล้งสามารถเอ่ยประโยคนี้ได้เต็มปากเพราะถึงเขาจะลอกเลียนงานคนอื่น วันหนึ่งก็สามารถดัดแปลงมาเป็นวิถีเฉพาะของตนเอง
มองโลกวันนี้ กวาดตารอบตัว เราพบว่า 'การสูดดมที่ผู้อื่นผาย' มีมากมายจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
นักร้องซีกเอเซียจำนวนมากลอกเลียนเพลง ไปจนถึงวิธีการร้อง / เต้น (แร็พ, ฮิพฮอพ ฯลฯ) อย่างนักร้องฝรั่งมาทั้งดุ้น การเดินแฟชั่นแกะมาจากต้นแบบฝรั่งทั้งกะบิ
รูปแบบรายการโทรทัศน์ มุมกล้องภาพยนตร์ ที่ตามรอยตะวันตกที่ไม่ต้องคิดใหม่ ฯลฯ
..รอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง..
และตอกย้ำว่าตัวเองเป็นเพียง 'สาขาย่อย' เท่านั้น
บางคนอาจลืมไปว่า ถึงจะลอก ก็ยังต้องออกแรง ยิ่งพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยจากต้นแบบมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องเหนื่อยมากเท่านั้น
เช่นนั้นมิสู้เสียแรงไปกับการสร้างรอยเท้าของเราเอง ?
เร็วๆ นี้ มาดอนนา ให้สัมภาษณ์ว่า เธอมิได้รู้สึกดีอีกแล้ว เมื่อเห็นคนอื่นเลียนแบบเธอ แต่งกายอย่างเธอ
จริงอยู่โลกแคบลงเรื่อยๆ ด้วยคำว่า โลกาภิวัฒน์ (Globalization หรือ 'ก่อบรรลัยใส่ฉัน' ตามสำนวนของกวี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ความหลากหลายของวัฒนธรรมและเทคโลโลยีลดลง แต่นี่มิใช่ข้ออ้าง ของการลอกเลียนอย่างหลับหูหลับตา
...หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศโดยการลอกเลียนเทคโนโลยีตะวันตกแบบทั้งดุ้น แต่ค่อยๆ ศึกษา ดัดแปลง จนในที่สุดก็สร้างรอยเท้าของตนเอง เป็นรอยเท้าที่ลึกและหนักแน่น จนต้นแบบยังทึ่ง
... การเลียนเพื่อรู้เป็นเรื่องดี แต่การรู้เพื่อเลียนไม่ใช่...
โลกหมุนไปไม่หยุดเพระามีคนกลุ่มหนึ่งพยามยามวิ่งหนีเงาของตนเองไปข้างหน้า คนพันธุ์นี้เชื่อว่ามีอะไรใหม่ๆ รอให้สร้างอยู่เสมอ ไม่มีวันหมด นี่จึงทำให้การสร้างสรรค์มีความหมาย
หากไม่สามารถสร้างรอยเท้าของตนเองได้ ก็มิยอมเหยียบบนรอยเท้าของคนอื่น
...รอยเท้าของตนเองถึงจะจาง แต่ก็เป็นรอยเท้าของเราเอง
ย่างก้าวของเราถึงจะสั้นและช้า แต่ก็เป็นก้าวของเราเอง...
ขอขอบคุณ บทความ โดย วินทร์ เลียววาริณ
จากหนังสือ: [รอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง]