.....ขาดก็ต้องเติม เกินก็ต้องตัด เพื่อประหยัดเวลา...
ที่อาตมากล่าวข้างต้นว่า คนเราเกิดด้วยความรู้และความคิด
ถ้าคนเราไม่ได้ปฏิบัติเลยนะ มันจะไม่มีความรู้ไม่มีความคิด
จะไม่ประดิษฐ์สร้างสรรค์
จะเป็นคนสั้นๆ แค่หัวบันได ไม่มีความเจริญกับเขา
คนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในครอบครัวและในหมู่คณะของตน
คนนั้นจะทำงานไม่พัก จะขยันในหน้าที่การงานทุกอย่าง
ที่จะต้องดำเนินวิถีชีวิตไปด้วยความถูกต้อง
ขอเจริญพรญาติโยมทั้งหลาย
ถ้าคนเห็นแก่ตัวจะกลัวลำบากความยากจะเกิดขึ้นแก่เขา
เขาเหล่านั้นจะไม่เอางานเอาการ
จะไม่อยากจะร่วมงานกับใคร แยกตัวออกไป
จะมาฟังธรรมะก็ไม่เอา ข้ารู้แล้วอวดรู้อวดดี จึงไม่อยากฟัง
นับประสาอะไรกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังให้พระอานนท์ศรีอนุชาแสดงคิริมานสูตร ถวายตอนอาพาธ
ท่านยังต้องฟังเหมือนกัน แล้วเราไม่ฟังได้อย่างไร
อันนี้ก็เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่เราจะต้องพึงปฏิบัติ
และถึงวันพระวันธรรมสวนะไม่ควรขาด ควรจะปฏิบัติทำกิจวัตร
โยมก็มารักษาอุโบสถ เพ่งโทษของตนเองในหนึ่งรอบสัปดาห์
มีผิดมีบกพร่องตรงไหน เรียกว่า เพ่งโทษตัวเอง
มารักษาศีลจำศีลภาวนาต้องการจะมาเพ่งโทษตัวเอง
ต้องการจะมาวิจัยตัวเอง ไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่นเขา
ต้องการเพ่งโทษตัวเองว่าเรามีโทษหนึ่งสัปดาห์ทำอะไรไว้บ้าง
ขาดทุนหรือได้กำไรในรอบสัปดาห์นี้
เราก็จะได้เจริญสติ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการเพ่งโทษของตัวเอง
มีโทษมีภัยอยู่ตรงไหนบ้าง และมันบกพร่องตรงไหนบ้าง
เราก็จะได้แก้ไขบกพร่อง
ที่อาตมากล่าวอยู่เสมอว่า ขาดก็ต้องเติม เกินก็ต้องตัด เพื่อประหยัดเวลา
อยู่มาอายุมากแล้วก็ใกล้จะตายด้วยกันทุกคน
ประหยัดเวลาเข้าไว้บ้าง ขาดก็ไม่เติม เกินก็ไม่ตัด
แสดงว่าเราไม่ประหยัดเวลา เสียเวลาไปก็น่าเสียดาย
ในวันธรรมสวนะนี้เราก็จำศีลภาวนา เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์
จะเกิดความรู้ที่ไม่เคยรู้ ที่ไม่เคยเข้าใจก็จะได้เข้าใจ...
จาก dhammathai