การให้ทานในเขตและนอกเขตพระพุทธศาสนา
สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมาร เสด็จไปบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ( เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ) องค์สมเด็จพระชินสีห์ ประทับที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้นมีเทวดา 2 ท่าน มาเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก่อนคนอื่นทั้งหมดเว้นไว้
แต่พระอินทร์ พระอินทร์ท่านเป็นเจ้าภาพ ท่านรับอยู่ก่อน มีเทวดาองค์หนึ่งมา คือ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งอยู่ข้างๆขา เบื้องขวา ท่านอังกรุเทพบุตร มานั่งข้างขาเบื้องซ้ายเทวดามากันมากมายหมดดาวดึงส์ท่านอินทกเทพบุตรนั่งตรงที่เดิม แต่ท่านอังกรุเทพบุตร ต้องถอยไปอยู่ท้ายบริษัทอยู่ริมนอก เพราะเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดในดาวดึงส์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถาม ท่านอังกุรเทพบุตร ( ท่านบันดาลให้เสียงท่านและเสียงเทวดาที่พูดกันได้ยิน ถึงคนที่คอยท่าน อยู่ที่เมืองพาราณสี ที่เมืองมนุษย์ คนทุกคนฟังชัด ) องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ ถามว่า "อังกุระ เมื่อสมัย เมื่อตถาคต ขึ้นมาใหม่ๆ มาถึงใหม่ เธอนั่งใกล้ ข้างขาข้างซ้าย เวลานี้เทวดาทั้งหลาย มากันคบถ้วน แต่ว่าเธอกลับมานั่งท้ายบริษัท ตถาคตอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก"
ท่านอังกุระ จึงได้กราบทูล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ภันเตภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์มากแล้วในสมัยนั้น เป็นต้นกัปป์คนมีอายุยืนมากอายุถึง 80,000 ปีจึงตาย ต่อมาสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแก่เหลืออีก 20,000 ปี จะสิ้นอายุ จึงได้ให้ตั้งโรงทาน 80 แห่ง คือ 1 โยชน์ 1 แห่ง โรงทานนี้ ให้แก่คนกำพร้าคนเดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งอาหารการบริโภค ผ้าผ่อนท่อนสไบ ของใช้ตามสมควร แต่ว่าเวลานั้นว่างจากพระพุทธศาสนา คนไม่มีศีลไม่มีธรรมคนไร้ศีลไร้ธรรม ไม่มีพระพุทธเจ้าทรงสอน บุญญาธิการที่ได้ จึงน้อยเกินไป ( ลงทุนมาก 20,000 ปี ตั้งโรงทาน 80 แห่ง เลี้ยงไม่จำกัด ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท คิดเอาว่าเขาต้องใช้เงินวันละเท่าไร แต่ว่าอาศัยว่า คนผู้รับเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้ให้ก็ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์นักเวลานั้น ศีลธรรมน้อยเกินไป เป็นของธรรมดาของชาวโลก วัตถุทานที่ได้มาก็เข้าใจว่าไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ ฉะนั้นเวลาตายจาก ความเป็นมนุษย์ จึงมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด) เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาถึงใหม่ๆ นั่งใกล้พระ องค์แต่ในที่สุด ก็ต้องมานั่งท้าย เพราะบุญญาธิการ ไม่เท่าเทวดาทั้งหลาย "
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงถาม ท่านอินทกเทพบุตร ว่า " อินทกะ เมื่อตถาคต มาถึงใหม่ๆ เธอมาถึงแล้ว ก็นั่งตรงนี้เวลานี้ เทวดามาหมดสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก เธอก็นั่งตรงนี้ ตถาคตอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสร้างความดี คือ บุญกุศลอะไรไว้ เธอจึงเป็นเทวดาที่มีศักดาใหญ่นอกจากพระอินทร์ "
ท่านอินทกเทพบุตรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"ภันเตภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า การที่ข้าพระพุทธเจ้าสมัยเป็นมนุษย์นั้นเป็นคนที่จนที่สุด หมายความว่าเป็นคนจนอยู่ในป่า ต่อมาท่านพ่อตายเหลือแต่ท่านแม่ ก็มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เลี้ยงแม่ด้วยการตัดฟืน เหนื่อยยากลำบากขนาดไหนก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าทำอย่างไรแม่จึงจะมีความสุขตามกำลังที่จะให้ท่านได้ "
ฟังตอนนี้ ก็คิดด้วยนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายว่า คนที่มีความรู้คุณ ยอมรับนับถือความดี ของบุคคลผู้มีคุณแล้วสนองคุณท่านนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นคนดี ตามพระบาลีท่านว่า
" นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา "
ซึ่งแปลว่า " บุคคลใดรู้อุปการคุณ ที่ท่านทำแล้ว แล้วก็ทำดี สนองตอบแทนคุณท่าน เราขอสรรเสริญบุคคลนั้น ว่าเป็นคนดี "
เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์สดับแล้ว ท่านก็เล่าต่อไป ท่านอินทกะถวายคำตอบต่อไปว่า "มาวันหนึ่งมีพระสงฆ์ใน พระพุทธศาสนาเดินทางมา ก็เป็นเวลาที่พอดีมีอาหารอยู่บ้าง ตามฐานะของคนจนคนป่า ยามปกติไม่มีของ สำหรับทำบุญคนจนนี่ก็ไม่มีพระ บางครั้งพระมาก็ไม่มีของถวาย ก็เลยจำใจนิ่ง เพราะอยากจะถวาย วันนั้นพอดีของในครัว พอมีอยู่บ้าง พระก็มาพอดี มีโอกาส ได้อาราธนาพระ ถวายเป็นสังฆทาน ครั้งเดียวในชีวิต ในชีวิต ของข้าพระพุทธเจ้า เป็นคนจน ถวายสังฆทานครั้งเดียว แต่ก็มีความกตัญญูรู้คุณกับแม่ด้วย ตายจากความเป็นคน จึงมาเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากกว่าเทวดา อื่นนอกจากพระอินทร์
นี่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังแล้วต้องคิดว่า ท่านอังกรุเทพบุตร ทำบุญมากแต่ว่ามีอานิสงส์น้อย ท่านอินทกเทพบุตร ทำบุญน้อยแต่มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้มีมากในพระพุทธศาสนา
ฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าต้องเลือกเขต เลือกนา การหว่านพืชในที่ดอนเกินไป ไม่มีน้ำเลี้ยงพืช ก็แห้งตาย การหว่านพืช ในที่ลุ่มเกินไป น้ำท่วมพืชก็ตาย จะต้องดูถึงพื้นนาที่ดีๆ ข้าวหรือพืชจึงจะงาม ผลจึงจะดกมีผลคุ้มค่าและเกินค่าที่เราทำ อย่างท่านอินทกเทพบุตร ท่านเป็นคนจนแสนจน แต่ว่าท่านถวายสังฆทานตาม เขตในพระพุทธศาสนา แล้วก็มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาอันนี้เป็นปัจจัยสูงสุด
แต่ก็เป็นที่น่าปลื้มใจ ที่คณะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและภิกษุสามเณร ทั้งในวัดก็ดี นอกวัดก็ดี นิยมการบำเพ็ญทานอันดับสูงนั่นคือ
1. พอใจในการถวายสังฆทาน ถวายสังฆทาน มีของมาถวายจัดเป็นชุด โดยเฉพาะก็มี ของน้อยก็มี ของมากก็มี นี่เป็นสังฆทานและ
2. ก็มีมากท่านนิยมมาเลี้ยงพระ การเลี้ยงพระสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปไม่ต้องบอก ก็เป็นสังฆทาน 100 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้การใส่บาตรหน้าบ้าน โดยไม่จำกัดพระ อันนี้ก็เป็นสังฆทาน อานิสงส์ใหญ่มาก ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายกย่องว่า การบำเพ็ญทาน ถวายแด่พระองค์เอง 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายสังฆทานครั้งเดียว และ
3. บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระก็ดี เณรก็ดีที่นิยมการช่วยส่งเสริมในการสร้างวิหารทาน ถึงกับมาสร้างห้องเป็นห้องๆ เป็นชื่อของตัวเอง เป็นชื่อน่ะไม่ใช่โชว์ ที่เขาติดชื่อน่ะ จะได้ทราบว่า ใครทำไว้ ลูกหลาน จะได้โมทนา ได้เป็นส่วนบุญด้วย สร้างพระพุทธรูปสวยสดงดงาม
รวมความว่า การบริจาคทานของบรรดาท่านพุทธบริษัททำถูกต้องอย่างนี้มีอานิสงส์มาก
( หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )