คัดลอกมาจาก : วารสารธรรมะใกล้ตัว
ฉบับที่ 69 วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2552
******************************************************
เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลทั่วไป จึงนามาช่วยเผยแพร่ครับ
******************************************************
ไม่รู้ว่าหัวข้อผู้เขียนได้ตั้งไว้รึเปล่า ผมขอเรียกเรื่องนี้ว่า
"ค่าโง่ของชีวิต"
ตอนซื้อของแพงกว่าราคาจริง
ประเภทซื้อของชิ้นหนึ่งเสร็จ
เดินไปอีกไม่กี่ก้าวแล้วเจอของชิ้นเดียวกัน
ที่แปะราคาไว้ถูกกว่าเป็นร้อยเป็นพัน
คุณคงโมโหกระฟัดกระเฟียด
และจดจำเงินส่วนต่างที่ต้องจ่ายด้วยความไม่รู้นั้น
ไว้ในใจไปอีกนาน
อาจหลายชั่วโมง อาจหลายวัน
หรือบางทีอาจเป็นเดือนๆ
ส่วนต่างที่ต้องจ่ายด้วยความไม่รู้นั้น
ชาวบ้านเรียกกันแบบสั้นๆเข้าใจง่ายๆว่า "ค่าโง่"
อันที่จริงค่าโง่มีอยู่หลายแบบ
แบบที่ถูกหลอกเอาซึ่งๆหน้า
แบบที่เราคำนวณพลาดเอง
ตลอดจนแบบที่เกิดจากข้อมูลไม่พอ เดินไม่ทั่ว เห็นไม่ครบ
ถ้าใครทำบัญชีค่าโง่เก็บไว้ดูเป็นรายปี
บางทีสิ้นปีอาจตาเหลือกรู้สึกคล้ายจะเป็นลม
คนที่ขัดสนหน่อยอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นพันๆ
คนที่ฐานะปานกลางอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นแสนๆ
และคนที่ฐานะมั่งคั่งอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นสิบๆล้าน!
ไม่มีใครตั้งงบล่วงหน้าไว้จ่ายค่าโง่โดยเฉพาะ
เพราะถ้ารู้ดีขนาดตั้งงบได้
ก็แปลว่ามีสิทธิ์ตัดงบนี้ทิ้งเสียก่อนแล้ว
ความจริงก็คือคุณแทบไม่มีทางรู้ตัวเลย
ว่าแต่ละปีต้องจ่ายค่าโง่เป็นจำนวนเท่าไร
ถ้าเอาค่าโง่ของทุกปีมารวมกัน
เชื่อเถอะครับว่าสุดท้ายคุณจะตายตาไม่หลับ
เพราะเอาแต่เสียดายว่าชีวิตที่ผ่านมานี้
แทนที่จะเอาเงินจำนวนหนึ่ง
ไปแลกบ้าน แลกรถ แลกตั๋วเครื่องบิน
กลับต้องเอามาจ่ายค่าโง่ไปเปล่าๆปลี้ๆ
พอตายไป
สมมุติว่าคุณระลึกได้ว่าตะกี้เป็นอะไร
ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นอะไรแล้ว
ตลอดจนสามารถล่วงรู้ได้อีกว่า
นอกจากภพตะกี้ที่จากมา
กับภพนี้ที่เพิ่งมาอยู่ใหม่
ยังมีภพชาติอื่นในอดีตเรียงรายมากมายเกินจะนับ
แถมยังมีภพชาติอื่นในอนาคตรออยู่ไม่สิ้นสุด
คุณคงเปลี่ยนใจ
รู้สึกว่าค่าโง่ที่นับเป็นจำนวนเงินในแต่ละชาติ
มันแค่เรื่องจิ๊บๆ
ทุกครั้งที่เกิดมา
ยังมีค่าโง่อย่างอื่นที่เราจ่ายหนักกว่านั้นมากนัก
ค่าโง่ของชีวิต
ค่าโง่ที่สาหัสที่สุด
คือการต้องจ่ายหนี้บาป
อันเกิดจากการทำบาปด้วยความไม่รู้ว่าบาปมีผล
เหมือนเด็กที่ทำผิดโดยไม่รู้ว่าจะถูกครูตี
เมื่อจะต้องถูกตีจึงรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมน่ากลัว
และถึงเวลานั้นก็สายเกินกว่าจะแก้ตัวเสียแล้ว
ส่วนค่าโง่ที่น่าเสียดายที่สุด
คือการพบพระพุทธศาสนา
แต่ไม่รู้ว่าพุทธศาสนา
คือประตูไปสู่บรมสุขอันเป็นอมตะ
มัวหลงเข้าใจว่าพุทธศาสนา
เป็นแค่อีกศาสนาหนึ่งที่มีไว้
เพื่อให้เลือกเชื่อหรือไม่เชื่อกันตามอัธยาศัย
การพบพุทธศาสนาแบบไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง
ก็เท่ากับหมดโอกาสรู้ตัว
ว่ากำลังจ่ายค่าโง่กันเป็นภพเป็นชาติ
ซึ่งก็นับไม่ถูกว่ากี่แสน กี่ล้าน กี่โกฏิชาติแล้ว
มูลค่าในการทำให้คนๆหนึ่งเข้าใจศาสนาพุทธ
จึงตีเป็นจำนวนเงินเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้
ถ้าจะคิดเป็นมูลค่ากันจริงๆ
ต้องคำนวณกันเป็นอัตราความสว่าง
เช่น ถ้าช่วยให้ใครสักคน
เข้าใจพุทธศาสนาระดับทานและศีล
ก็ได้เป็นอัตราความสว่าง
ระดับเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นเทวดา
ซึ่งก็นับว่ามีความจัดจ้ากว่าแสงอาทิตย์ได้
เพราะแสงอาทิตย์ไม่เคยช่วยให้คนๆหนึ่งเห็นสวรรค์
มีก็แต่บุญเท่านั้นที่เข็นไหว
แต่ถ้าช่วยให้ใครเข้าใจพุทธศาสนา
ในระดับของการภาวนา
ก็ได้มูลค่าเป็นอัตราความสว่าง
ระดับเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นองค์อรหันต์
พ้นทุกข์พ้นภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดถาวร
ซึ่งแสงระดับนี้มีความจัดจ้าสูงสุด
เทียบแล้วความสว่างระดับทานและศีลที่ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์
กลับกลายเป็นของจ้อยไปเลย
เขียนมาทั้งหมดนั้น
เกิดจากแรงบันดาลใจ
ที่ช่วงหลังๆนี้เห็นคนรอบตัวหลายๆคน
อิ่มเอมเปรมใจ ได้ดิบได้ดีจากการค้นพบทางธรรม
แล้วมีแก่ใจให้ธรรมะกับผู้อื่นด้วยจิตคิดอนุเคราะห์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทาน
ชนะการให้ทานอื่นใดทุกชนิด
ความหมายคือผลของธรรมทานนั้น
เจิดจรัสจัดจ้าเหนือความสว่างทั้งปวง
คุณอย่าไปคิดว่าธรรมทาน
จะแปรตัวเป็นกองทุนเลี้ยงชีพทันตา
เพราะไม่แน่นอน ยังต้องบวกลบคูณหารกับกรรมเก่าอีก
แต่ขอให้คิดว่าธรรมทานอันเกิดจากใจจริงคิดช่วย
ได้แปรรูปเป็นความสว่างแห่งจิตทันใจเดี๋ยวนี้แหละ
ไม่ต้องไปบวกลบคูณหารกับอะไรไกลตัว
ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่าเดิม
หรือเฮงผิดปกติ
ทั้งทำมาค้าขึ้น ทั้งได้ลาภ
ทั้งได้รับความช่วยเหลืออย่างท่วมท้น
ก็อย่าไปสรุปว่าผลของธรรมทานคือประมาณนี้
ผลดีของธรรมทานที่ได้รับในปัจจุบัน
มันเป็นแค่เศษๆเสี้ยวๆของตัวอย่างเท่านั้น
ของจริงที่จะให้ผลถึงที่สุดแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
มันต้องว่ากันเป็นภพเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่านี้
อย่างไม่อาจเอามาเทียบกัน
และเวลาที่ธรรมทานเปล่งอานุภาพขั้นสุดท้าย
ก็จะไปกระทำกับจิตใจเจ้าของทานโดยตรง
นั่นคือปรุงให้จิตเห็นตามจริงว่า
ภพชาติทั้งหลายเป็นทุกข์ เป็นของควรรู้ว่าน่าทิ้ง
ไม่ใช่ของควรคิดว่าน่าเอา
กระทั่งมีกำลังที่จะทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อเหลือใย
ถ้าคุณทำให้คนแม้แต่คนเดียวรู้จัก เข้าใจ
ตลอดจนเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้
ตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์จะให้พบจริงๆ
ก็ให้ชื่นใจเถอะครับ
บอกตัวเองเถอะครับว่า
ได้สร้างขุมทรัพย์บันลือโลกไว้ให้ตัวเองแล้ว
ดังตฤณ
พฤษภาคม ๕๒