มิตรภาพ..การเดินทาง
1......
ปีใหม่ของปีที่ผ่านมาฉันจำได้ มีเหตุให้ต้องเดินทางกลับใต้อย่างฉุกละหุก
ฉันเองก็ไม่ได้คาดคิดหรือวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเลยสักนิดเดียว
แย่ละซิ ช่วงเทศกาลด้วยแล้วยังจะมีที่ว่างพอสำหรับเราไหมเนี่ยะ
ฉันได้แต่คิดรำพันในใจเพียงคนเดียว
พี่ๆทั้งสามคนก็คงไปนั่งยิ้มหน้าบานที่บ้านกันหมดแล้ว
เพราะความใจง่ายของตัวเอง อยากไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา
พี่ๆทั้งสามรวมหัวกันกล่อมเราซะอยุ่หมัด อิอิ
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไม่มีที่รถนอนก็นั่งไปแล้วกัน ยืนก็ได้(มั้ง)
...........................................
2.........
" ขอจองตั๋วรถสปินเตอร์ช่วงเวลา 4 ทุ่มกว่าน่ะคะ ลงที่สถานีไชยา "
ฉันแจ้งความประสงค์ไปยังพนักงานขายตั๋วตรงหน้าเคาน์เตอร์
" ขออภัยคะ ตอนนี้รถไฟทุกชั้น ทุกขบวนเต็มหมดแล้วคะ ยกเว้นชั้น 3 นั่ง "
" เดี๋ยวดูรายละเอียดให้อีกทีแล้วกันคะ " เธอบอกอีกครั้ง
ฉันหรือยิหวา รอลุ้นด้วยใจระลึก เอ๊ย ระทึก อิอิ
" เอ่อ คุณคะ มีที่นั่ง ชั้น 3 ว่างคะ แต่เป็นเก้าอี้ไม้ ปรับเอนไม่ได้ "
ฉันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แน่นอน จำยอมซื้อตั๋วเดินทางชั้น 3 ในราคา 200กว่าบาท
ในขณะเดียวกันที่รถสปินเตอร์ราคา 500กว่า เกือบจะ 600บาท
ฉะนั้น อย่าถามหาความสะดวกสบายว่า ต่างกันแค่ไหนระหว่างชั้น 3 กับรถสปินเตอร์ช่วง4 ทุ่ม
แค่คิดน้ำตาแทบร่วงยัยวาเอ๋ย เก้าอี้ไม้ ปรับเอนไม่ได้
โห ต้องนั่งจากหัวลำโพงข้ามคืนเชียวนะ นั่งจนก้นด้านหมดแล้วมั้ง 5555
....................................................
3..........
ฉันเหลือบมองหมายเลขที่นั่งจากตั๋วในมือ ขบวนรถเร็วกันตัง
เวลารถออก 18.20 น. เป้าหมายดุ่มๆไปที่ชานชลาที่ 10
โชคดีหน่อย ที่ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง แต่ยังไงก็อดที่จะสมเพชแกมเวทนาตัวเองเสียมิได้ ทำไมชีวิตยัยวาถึงน่าอนาถเช่นนี้หนอ เฮ้อ
อากาศก็แสนจะร้อนอบอ้าว อึดอัดอีกต่างหาก
แต่คิดอีกทีก็น่ะ... ประสบการณ์ชีวิตการเดินทางของคนเราใช่ว่าสวยงามเสมอไปหมดซะทีเดียว ไม่งั้น ชีวิตคงไม่มีรสชาติซิ เนอะ
ก็ได้แค่ยิ้มกับตัวเอง กับคำปลอบใจที่แสนจะง่ายๆ 55555
คิดพลาง สายตาก็มองผุ้คนไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เอ พวกเขากำลังจะเดินทางไปไหนกันนักหนานะ
เอ พวกเขาคงเหมือนเราหรือเปล่า ที่กลับไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมครอบครัว
นั่นซิ อย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนร่วมเดินทาง ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับฉันมากมายที่โดยสารรถไฟสายใต้ขบวนนี้ แม้จุดหมายปลายทางฝันของเราอาจต่างกัน
กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ แว่วเสียงตำรวจรถไฟเดินมาพูดคุยบอกให้ผุ้โดยสารระวังสิ่งของมีค่าที่นำติดตัว
ให้ระวังเหล่ามิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวมาในรุปแบบต่างๆ
สำหรับฉัน ยิหวาแล้วไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะไม่เคยพกของมีค่าติดตัว
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่เคยมีสิ่งของมีค่าเหมือนคนอื่นเขาเลย อิอิ
..............................................
4............
" นี่ไง หมายเลขที่นั่งของเรา หนูนั่งกับพี่เค้านะลูก "
เอ.. เพื่อนร่วมเดินทางมาเพิ่มอีกสองชีวิตแล้วซินะ อย่างน้อยก็แม่ลูกคู่นี้ล่ะ
ตัวคุณแม่ให้ลุกสาววัยราวๆ7ขวบมานั่งข้างฉัน ตัวเธอเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามฉันกับลุกสาว
ฉันหันไปยิ้มทักทายมิตรต้อนรับมิตรใหม่คนแปลกหน้า
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเธอมองฉันราวกับว่า ฉันเป็นคนหน้าแปลก
แววตาและสีหน้าของเธอบ่งบอกว่า เธอกำลังตื่นกลัวกับคนแปลกหน้าอย่างฉัน
เอ.. หรือว่า ฉันเป็นคนหน้าแปลกสำหรับเธอไปแล้วจริงๆ
ความรุ้สึกของฉันเวลาต่อมาก็คือ เธอ เด็กผุ้หญิงคนนั้นแอบมองหน้าฉันบ่อยมากๆ
เอ.. ชักสนุกซะแล้วซิยัยวา
...............................................
5..............
รถไฟยังคงวิ่งในเส้นทางที่กำหนดไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะถึงจุดหมายปลายทางฝันของใครสักคน
ความมืดเริ่มเข้ามาเยือน ต้นไม้ใหญ่ใบหญ้าริมทางรถไฟเป็นสึทึมๆดูน่ากลัว คล้ายเงาสูงใหญ่ของปีศาจสักตนหนึ่ง
ไม่หรอกนะ ฉันแค่คิด แค่จินตนาการไปเองต่างหากล่ะ
เสียงล้อเหล็กยังคงเบียดขยี้รางรถไฟ ฟังแล้วเสียดแทงถึงข้างในหัวใจ
หากบางช่วงบางตอนแล้ว รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานเหล็ก รถไฟรถเหล้กล้อเหล็กก็จะบดกับเหล้กสะพาน เสียงดังจนแสบแก้วหู
ทำให้เด้กหญิงคนนั้นต้องเอาสองมืออุดหู
พลางถาโถมหาอ้อมกอดแม่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ราวกับต้องการคำปลุกปลอบจากผุ้เป็นแม่ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมา
.............................................
6..........
2 ชั่วโมงผ่านไปเห็นจะได้ ถ้าฉันคาดคะเนไม่ผิด
" จ๊ะเอ๋ ... ชื่ออะไรคะ ? " ฉันเริ่มบทสนทนากับแม่หนูน้อยคนนั้น
" ....." เงียบไม่มี คำตอบจากเธอ แต่เหมือนเธอมองหน้าฉันเหมือนประหม่า เขินอาย นิ้วหัวแม่โป้งถุกจับส่งเข้าปากแก้เขิน 5555
" พี่เค้าชวนคุย ทำไมหนูไม่คุยกับพี่เค้า ทีเมื่อกี้แอบมองพี่เค้านี่ "
แม่ของเธอ ไม่น่าดักคอเธอเลย ยิ่งทำให้เธอเขินอาย ยิ้มเอามือปิดปาก
" ว่าไงคะ ชื่ออะไรเอ่ย ? " ฉันลองใหม่อีกครั้ง พลางส่งยิ้มหวานสุดๆดุจนางงามรักเด็ก 55555
" ชื่อ เตย คะ " อ่ะนะ ได้ผลแฮะ เธอยอมคุยด้วยแล้ว แม้จะออกอาการเขินๆนิดๆ
" ชื่อน่ารักจัง เตย ย่อมาจากอะไรคะ ใบเตยหรือเปล่า ? " ฉันตะล่อมเด็ก อิอิ
น้องเตย ยังคงยิ้มเขินๆ คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างเหนียวแน่น
" เตย มาจากคำว่า ใบเตยคะ แม่ตั้งให้หนู "
น้องเตย เริ่มเป็นมิตรกับฉันกว่าเก่า
ดูท่าทางเธอแล้ว เธอคงเริ่มชินกับคนแปลกหน้า (รวมทั้งคนหน้าแปลกอย่างฉัน)มากขึ้น เธอเริ่มที่จะกล้าพุดคุยด้วยแล้ว
" พี่ไว้ผมยาวสวย หนูชอบ แต่ทำไมพี่ใส่หมวกเหมือนผุ้ชาย ?"
" ..... " คราวนี้กลับกลายเป็นฉันที่หาคำตอบให้น้องเตยไม่ได้ 5555
จริงๆแล้วฉันคิดว่า น้องเตยเธอเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าพุด กล้าถาม ช่างซัก ช่างสงสัย รวมกันคือ สารพัดช่างน่ะค่ะ อิอิ
น้องเตย เธอช่างซัก ช่างสงสัย แต่เธอคงคิดว่า เราสองคนอาจเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันหรือเปล่า
เธอ หรือ ฉัน กันแน่ ที่ไม่กล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้าก่อนกัน
.....................................
" พี่ชื่ออะไรคะ ? " น้องเตยเหมือนเริ่มที่จะคุ้นเคย
" ชื่อ พี่วา คะ " ฉันตอบน้องเตย พลางยิ้มหวานให้อย่างนางงามรักเด็กเป็นรอบที่ 2 ฮ่าๆ อิอิ
" แล้วพี่วาจะไปไหนคะ ไปหาพ่อหรือเปล่า หนูจะกลับบ้านไปหาพ่อคะ "
" พี่สาวหนูรับปริญญา แม่พาหนูมาถ่ายรูปกับพี่สาว พ่อหนูไม่ได้มาคะ "
ประโยคสนทนา บอกเล่ายาวๆของเธอ อดที่ทำให้ฉัน(แอบ)อมยิ้มเสียมิได้ นั่นเพราะเธอเป็นเด็ก วัยเด็กเป็นวัยที่ยังคงเป็นผ้าขาว ใส ซื่อ ช่างเจรจา เห็นอะไร คิดอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนผุ้ใหญ่บางคน
น้ำเสียงบอกเล่าซื่อๆ รวมทั้งแววตาใสๆของเธอ ทำให้ฉันหลงรักเธอได้ไม่ยากเลยสักนิดเดียว
...............................................
7..............
น้องเตย เธอเป็นเด็กผิวคล้ำตามแบบฉบับเด็กใต้ทั่วๆไป
เธอช่างพูดช่างคุยได้หลากหลายเรื่อง และที่สำคัญเธอพยายามสื่อสารภาษากลางปนภาษาใต้กับฉัน
(หรือที่บ้านฉันเรียกว่า แหลงทองแดง นั่นแหละคะ อิอิ )
" พี่วาๆ พี่วาเป็นคนใต้เหมือนหนูไหมคะ ?" น้องเตยถามฉันพร้อมรอฟังคำตอบด้วยแววตาใสซื่อ
" พี่เป็นคนใต้เหมือนน้องเตยแหละคะ" ฉันบอกออกไปอย่างงั้นจริงๆ
" ไม่จริง พี่วาผิวขาว จะเป็นคนใต้ได้ไง หนูผิวดำ หนูเป็นคนใต้จริงๆนิ "ล
เธอยังคงแหลงใต้ ผสมภาษากลางได้อย่างไม่ติดขัด
" ก็พ่อของพี่วาเป็นคนจีน แม่เป็นคนใต้ พี่วาเลยขาวนิดนึงคะ "
" ............" น้องเตยมองหน้าฉัน แล้วก็เงียบ
เอ.. ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าหนอ อะไรทำให้เธอเงียบงัน
แต่แล้วเธอก็มองหน้าฉันด้วยสายตาที่แปลกไปกว่าเก่า
คล้ายสายตาของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันเมื่อ2ชั่วโมงที่ผ่านมา
" พี่วานับถือศาสนาพุทธ พี่วากินหมู พี่วาตัวขาว แต่หนุตัวดำ หนูนับถือศาสนาอิสลาม หนูไม่กินหมู.... แล้ว... แล้วพี่วาจะคุยกับหนูอีกไหมคะ
เราเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ไหมคะ "
น้องเตยระบายความสงสัยออกมาได้หมดเปลือกจริงๆ
ทำให้ฉันถึงบางอ้อ เดี๋ยวนี้นี่เอง แต่ฉันอึ้งกับคำถามของเธอ
ทำไมตัวแค่นี้ อายุแค่ 7ขวบ ทำไมรุ้จักคำว่า "เพื่อน"
ทำไม รุ้จักคำว่า "ศาสนา" หลากหลายคำถามผุดในสมองฉันมากมาย
สีหน้าที่เธอพูดซื่อๆดั่งเก่า แต่น้ำเสียงเหมือนสั่นครือ
ฉันได้แต่คิดว่า เธออาจมีอะไรกังวลในใจเล็กๆ
เธอคงกลัวว่า คำว่า ต่างศาสนา คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อย่างงั้นหรือ
สิ่งที่น้องเตยพุด ทำเหมือนเธอ(หรือฉัน)กันแน่ที่ปิดกั้นตัวเองจากศาสนาอื่น
น้องเตย คงคิดว่า ศาสนา ความเชื่อที่ต่างกันระหว่างเราสองคนจะทำให้เกิดช่องว่างของคำว่า เพื่อน มิตรภาพ หรือเปล่าหนอ
.................................................
ฉันได้ฟัง รับรู้สิ่งที่น้องเตยพูดออกมาจากปากของเด็กหญิงวัย7ขวบ
คำว่า ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาอิสลาม
ฉันทำได้เพียงดึงน้องเตยเข้ามาโอบกอดปลอบใจ พร้อมกับหอมหน้าผากเบาๆ
แค่นั้น ก็ทำให้น้องเตยยิ้มหน้าบานได้อย่างเก่า
เฮ้อ เด็กหนอเด็ก ยังไงก็คือเด็กวันยังค่ำแหละนะ
" สัญญาคะ แม้ว่าพี่วานับถือศาสนาพุทธ น้องเตยนับถือศาสนาอิสลาม
แต่เราสองคนก็เป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกันได้นี่คะ ตลอดไปคะ "
ตอนนั้น ฉันคิดว่า นี่เป็นคำพูดที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้วละ
" จริงๆนะคะพี่วา พี่วาไม่หลอกหนูนะคะ "
น้องเตยพุดได้เพียงแค่นี้ก็ผละจากอ้อมกอดของฉัน ไปยืนตรงหน้าพลางเอาสองมือประสานกันระหว่างหน้าอกของเธอ
" ขอให้พระผุ้เป็นเจ้าคุ้มครองให้พี่วา และครอบครัวของพี่วามีความสุขตลอดไป "
นี่คือ น้ำใจจากน้องเตย เด็กหญิงอายุ7ขวบ ฉันได้ฟังก็อึ้ง แทบน้ำตาซึม
ยืนยันว่า แม่เขาไม่ได้สอนก่อนหน้านี้เลย เธอกระทำของเธอเอง
ไม่มีใครชี้แนะ น้องเตยแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยแท้
" ขอบคุณมากนะน้องเตย ขอให้หนูและครอบครัวมีความสุขมากๆเช่นกันจ๊ะ "
ฉันพูดได้เพียงแค่นี้จริงๆ
...............................................................
8..........
เวลาล่วงเข้าไปตี 1 กว่าแล้วของคืนนั้น แต่ฉันยังหลับตาไม่ลง
ทำได้เพียงเอนกายพิงหลังกับเก้าอี้ไม้ตัวเดิม มองนอกหน้าต่างริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ มีแต่ความมืดสนิทของท้องฟ้า
ณ.เวลานี้ท้องฟ้าอาจมืด แต่เช้าวันใหม่ท้องฟ้าต้องสดใสกว่าคืนนี้แน่นอน
น้องเตย ยังคงนอนหลับไหลหนุนตักแม่ด้วยท่าทางที่เป็นสุข
" ขอให้เชื่อพี่วานะน้องเตย มิตรภาพการเดินทางในครั้งนี้
ไม่ได้มีขีดจำกัดแค่คำว่า อายุ หรือเชื้อสาย
ความเชื่อใดๆ หรือแม้แต่คำว่า ศาสนา ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา
เรายังเป็นเพื่อนกันได้เสมอ แม้ว่าจุดหมายปลายทางฝันของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไป "
" พี่วาเองก็เช่นกัน หากไม่ได้เดินทางมากับรถเร็วกันตังชั้น 3 ขบวนนี้
เราสองคน พี่วากับน้องเตย คงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน
และที่สำคัญ คงไม่มีโอกาสได้รุ้จักคำว่า "มิตรภาพของการเดินทาง"
ขอบคุณสิ่งดีๆที่เรามีให้กันนะคะ
ขอบคุณประสบการณ์การเดินทางที่สวยงามในค่ำคืนนั้น
ลองเหลียวมองคนรอบข้างคุณเองซิคะ
ขอเพียงคุณลองเปิดใจให้กว้าง แล้วรอยยิ้มกว้างๆก็จะเกิดขี้นแก่ตัวคุณเองค่ะ
คุณลองตอบรับมิตรภาพจากคนแปลกหน้าจากการเดินทางสักครั้งเถอะคะ
แล้วคุณจะรู้ว่า โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย
.............................................................
ชอบคุรไทยโพเอมดอทคอม