การสงครามเป็นอันยุติแล้ว
สถานการณ์เดิม . . .
ก่อนที่จะเข้าสนามรบ กองทหารไทยได้ไปฝึกอบรมในโรงเรียนต่างๆ ดังนี้
กองทหารบกรถยนต์ ไปฝึกอบรมที่ เมืองลีย็องส์ Lyons และเมือง ดูรด็อง Dourdan
กองบินทหารบก ไปฝึกอบรม ตำบลอิ๊สตรส์ istres และ เมืองอาวอร์ด Avord
กองทหารบกรถยนต์เข้าทำการในสนามด้านกองทัพฝรั่งเศส
ผู้แทนกองทัพเยรมันได้ยอมลงนามในสัญญาหย่าศึก ยอมแพ้แก่ฝ่ายราชสัมพันธมิตรอย่างราบคาบ
การเดินทางเข้าเหยียบดินแดนราชศัตรู
ด้านกองบินทหารบก
เมื่อทางราชการรู้แน่ชัดแล้วว่าการสงครามเป็นอันสงบแน่นอน และกองบินทหารบกเป็นอันไม่มีโอกาสได้เข้ากระทำการสงครามในยุทธบริเวณ จึงมีคำสั่งเรียกกองบินทหารบกกลับพระนคร
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ได้เสด็จโดยเรือตอรเปโดที่ ๔ ถึงท่าราชวรดิษฐ์ เวลา ๑๔ นาฬิกา ๓๐ นาที ซึ่งหัวหน้าฑูตทหาร กับนายพันโท พระทรงสุรเดชได้ตามเสด็จด้วย ส่วนเรือเจนทะเลมาถึง เมื่อเวลา ๑๕ นาฬิกา ๔๕ นาที
สถานการณ์ต่อไป . . .
การต้อนรับกองบินทหารบกเมื่อถึงพระนคร
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๖๒ เวลา ๑๖ นาฬิกา เรือได้มาถึงท่าขุนนาง ได้เข้าจอดเทียบท่า พระบรมวงศานุวงศ์ นายทหารผู้ใหญ่ ผู้น้อย ข้าราชการพลเรือน และราษฎรได้ไปคอยรับอยู่ที่ท่าเป็นอันมาก ครั้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณะ ได้เสด็จขึ้นสู่เกย ได้มีพระดำรัสอำนวยพร และทรงประน้ำพระพุทธมนต์ทั่วทุกตัวคน
ครั้นแล้วทหารเดินแถวมีแตรวงนำหน้าเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ตามถนนมหาราช - ถนนหน้าพระลาน - เข้าสู่ประตูวิเศษไชยศรีไปตั้งแถวที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมาต้อนรับกองทหาร ทรงตรวจพล เมื่อจบการตรวจพลแล้วได้มีพระราชดำรัส
เมื่อได้พระราชทานพระราชดำรัสต้อนรับทหารแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับ ณ พระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญที่ระฤกราชการสงครามยุโหรปแก่นายทหาร,นายสิบ,พลทหาร เข้าไปรับพระราชทานเหรียญเรียงตัวกัน
เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป
The War Medal of B.E. 2461
เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป ใช้อักษรย่อว่า ร.ส. จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ ประเภท เหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความกล้าหาญ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญนี้ขึ้นสำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ไปพระราชสงครามในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑
ลักษณะเป็นเหรียญเงินกลม
ด้านหน้า มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพักตร์เสี้ยว และมีอักษรพระบรมนามาภิไธยปรากฏที่ริมขอบว่า
"รามาธิปติสยามินฺโท วชิราวุธฺวิสฺสโต"
ด้านหลัง มีรูปวชิราวุธ มีรัศมีพานรองสองชั้น มีฉัตรสองข้าง และมีอักษรที่ริมขอบว่า
"งานพระราชสงครามในทวีปยุโรป พระพุทธศักราช ๒๔๖๑"
ห้อยกับแพรแถบสีเลือดหมู มีริ้วสีดำสองข้าง กว้าง ๓.๕ เซนติเมตร ห้อยกับแพรแถบ ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน
กองบินทหารบกเสร็จราชกิจ
วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๔๖๒ นับว่าทหารกองบินทหารบกซึ่งอาสาไปในราชการสงครามเป็นอันเสร็จราชกิจ นายสิบพลทหารได้ปลดเป็นกองหนุนเดินทางกลับไปสู่ตามภูมิลำเนาของตน ส่วนนายทหารสัญญาบัตรซึ่งเป็นนายทหารประจำการทั้งสิ้นนั้น ได้มีคำสั่งให้กลับไปรับราชการตามเหล่าและชนิดของตนดังก่อนที่เข้าอาสา ทั้งนี้ ตลอดจนนายทหารในกองฑูตทหาร
กองทหารบกรถยนต์ยังไม่เสร็จราชกิจ - ยุทธบริเวณ
นายทหารสัญญาบัตรในกองทหารบกรถยนต์ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์จากรัฐบาลฝรั่งเศส คือ
นายร้อยเอก หม่อมเจ้า นิตยากร ได้รับตราครัวก์ซ์ เดอะ แกร์ร์ เนื่องในความชอบตั้งแต่ครั้งยังกระทำสงครามกันอยู่
นายพันตรี หลวงรามรณรงค์ ได้รับตราเลจิย็องด็อนเนอร์ ชั้นที่ ๕ - Chevalier de la Legion d' honneur
< Croix de Guerre 1914 - 1917 Chevalier de la Legion d' honneur >
การรุกข้ามแม่น้ำไรน์
จำเดิมตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ ซึ่งผู้แทนกองทัพเยรมันได้ยอมลงนามในสัญญาหย่าศึก ยอมแพ้แก่ฝ่ายราชสัมพันธมิตร์อย่างราบคาบตามสัญญาที่ฝ่ายสัมพันธมิตร์ได้ร่างขึ้น นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงกลางเดือน พฤษภาคม ๒๔๖๒ เป็นเวลาประมาณ ปีครึ่งยังหาได้ทำสัญญาสันติภาพกันไม่
ต่อมาที่ประชุมทำสัญญาสันติภาพ ได้กำหนดวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๖๒ เวลา ๑๘ นาฬิกา เป็นเวลาที่สุดซึ่งฝ่ายประเทศเยร์มะเนียจะยอมรับทำสัญญาสันติภาพ ถ้าแม้ฝ่ายประเทศเยร์มะเนียนิ่งเฉยเสียหรือไม่ยอมรับและได้พ้นกำหนดนี้ไปแล้ว กองทัพสัมพันธมิตร์จะรุกเข้าไปในดินแดนแห่งประเทศเยร์มะเนียต่อไป
ครั้นวันที่ ๑๘ มิถุนายน ก่อนจะถึงกำหนด ๗ วัน จอมทัพสัมพันธมิตร์ได้มีคำสั่งให้กองทัพทั้งหลายรุกข้ามลำน้ำไรน์ ไปตั้งประชิดกับเขตร์ที่เป็นกลางและเตรียมพร้อมสำหรับการรบ
สำหรับการที่กองทัพสัมพันธมิตร์จะทำการรุกข้ามแม่น้ำไรน์ ครั้งนี้ กองทหารบกรถยนต์ไทยได้รับคำสั่งให้ลำเลียงกรมทหารพรานที่ ๑ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฟรังเค่นธาล และสัมภาระของกรมบัญชาการกองพลในเมืองลู้ดวิกส์ฮาเฟ่น . . . ฯลฯ
เมื่อได้ลำเลียงทหารขึ้นรถพร้อมแล้ว ได้เริ่มเดินทางแยกกันเป็น ๒ ขะบวน คือ
ขะบวนรถยนต์กองย่อยที่ ๑ ในบังคับนายร้อยเอก ศรี ศุขะวาที ได้เริ่มออกเดินเวลา ๘ นาฬิกา ๒๕ นาที เดินทางผ่านเมืองและตำบลดังนี้ วอรมส์ - โฮ้ฆไฮมเว็สตโฮ้เฟ่น-เฮ็สสล็อฆ- ไวโนลสไฮม-ม็อมเม่นไฮม-ไมนซ์ (Worms - Hochheim - Westhofen - Hessloch - Weinolsheim - Momenheim - Mains) ข้ามแม่น้ำไรน์โดยสะพานที่ตำบลคัสเคล (Kastel) แล้วเดินทางต่อไปยังเด็ลเค่นไฮม (Delkenheim) เพื่อลำเลียงทหารลง กองย่อยที่ ๑ ได้ไปถึงตำบลลำเลียงทหารลงนี้ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน เวลา ๗ นาฬิกา ๒๕ นาที
กองย่อยที่ ๓ ได้ออกเดินเวลา ๘ นาฬิกา ๔๕ นาที แห่งวันที่ ๑๘ มิถุนายน เดินทางเดียวกับกองย่อยที่ ๑ ไปจนข้ามแม่น้ำไรน์ที่ตำบลคัสเคล (Kastel) แล้วเดินทางไปส่งทหารลงจากรถยนต์ที่ตำบลโฮ้ฆไฮม (Hochheim) ทิศตวันออกเมืองไมนซ (ไม่ใช่โฮ้ฆไฮมทิศเหนือเมืองวอรมส) กองย่อยที่ ๓ ได้ไปถึงตำบลนี้ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน เวลา ๑๐ นาฬิกา ฯลฯ
ในวันที่ ๑๘ - ๑๙ นี้ มีขะบวนรถยนต์เดินทางหลายกองใหญ่ ผู้บัญชาการรถยนต์ได้ชมเชยว่า ขะบวนรถยนต์ไทยได้เดินทางอย่างเรียบร้อย มีระยะต่อระหว่างรถงดงาม ไม่มีรถยนต์ตกทางหรือหลงทางเลย
เมื่อได้ลำเลียงทหารลงจากรถยนต์แล้ว ผู้บังคับการกรมทหาร และผู้บังคับกองพันได้สแดงความขอบใจ และพอใจในการที่กองทหารได้ลำเลียงทหารฝรั่งเศสมาส่งโดยทหารฝรั่งเศสมิได้รับความลำบาก ครั้นแล้ว นายพลชมิดต ผู้บัญชาการกองพลใหญ่ ซึ่งเป็นผู้บังคับทหารฝรั่งเศสได้มาสแดงความยินดี และขอบใจ ทั้งชมเชยความสามารถในการขับรถยนต์ของทหารไทยเป็นอันมาก
วันที่ ๑๙ มิถุนายนนั้น ควรนับว่าเป็นวันที่รลึกอันสำคัญสำหรับกองทหารบกรถยนต์ไว้วันหนึ่ง เพราะเป็นวันที่กองทหารได้เตลื่อนที่ออกจากพระนครไปสู่ยุทธภูมิ ครั้นถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน รุ่งขึ้นอีกปี ๑ คือพระพุทธศักราช ๒๔๖๒ กองทหารบกรถยนต์ได้ทำการลำเลียงกองทหารฝรั่งเศสข้ามแม่น้ำไรน์
กองทหารบกรถยนต์ไทยลำเลียงกองระวังน่าทหารฝรั่งเศสข้ามแม่น้ำไรน์ ที่เมืองไมน์ส
การสงครามเป็นอันยุติแล้ว
วันที่ ๒๓ มิถุนายน เวลา ๑๙ นาฬิกา เป็นหมดเขตเวลาซึ่งสัมพันธมิตรจะยอมพูดตกลงกับฝ่ายเยรมะเนีย
ฯลฯ
ในเวลานี้ นายพลตรี ชมิตต์ ได้ไปถึงที่ว่าการเมืองโฮ้ชสต และได้เรียกผู้บังคับบัญชาการ กรมกองทหารซึ่งขึ้นตรงต่อท่านไปประชุม และประกาศให้ทราบว่า ฝ่ายประเทศเยรมะเนียได้ยอมทำสัญญาสันติภาพ ฉะนั้น การสงครามเป็นอันยุติแล้ว . . .
ฯลฯ
ในคืนวันที่ลงนามทำสัญญาสันติภาพนี้ บรรดาทหารสัมพันธมิตร์ได้รับแจกชามปาญจากรัฐบาลฝรั่งเศส สำหรับนายสิบพลทหาร ๔ คนต่อ ๑ ขวด สำหรับนายทหารสัญญาบัตร ๒ คนต่อ ๑ ขวด เพราะฉะนั้น ทหารได้แสดงความรื่นเริงกันทุกคน
วันที่ ๓๐ มิถุนายน เวลา ๕ นาฬิกา ๓๐ นาที ขบวนรถยนต์ได้เคลื่อนที่เดินทางผ่านตำบลต่างๆ เมื่อได้ลำเลียงทหารลง และพักรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ได้เดินทางกลับไปนอนที่ตำบลโอ้ฆไฮมอีก เพื่อลำเลียงทหารอีกครั้งเป็นครั้งที่สุดในวันรุ่งขึ้น
ลำเลียงทหารอีกครั้งเป็นครั้งที่สุด
วันที่ ๑ กรกฎาคม เวลา ๕ นาฬิกา ๓๐ นาที ได้เริ่มลำเลียงทหารพรานเซเนกาเลส์ขึ้นรถยนต์
เวลา ๕ นาฬิกา ๕๐ นาที ขบวนรถได้เริ่มออกเดิน ถึงที่ลำเลียงทหารลงที่เมืองฟรังเค่นธาลเวลา ๑๑ นาฬิกา เมื่อได้พักผ่อนและรับประทานอาหารกลางวันแล้ว กองย่อยต่างๆ ได้แยกกันเดินทางไปยังที่พักประจำ เมื่อกองทหารบกรถยนต์กลับเมืองนอยสตัตตแล้ว นับว่าเป็นการเสร็จหน้าที่ในการที่จะช่วยสัมพันธมิตร ได้มีคำสั่งให้เตรียมตัวสำหรับเดินทางรถไฟกลับยังกรุงปารีส แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงการกลับ เห็นสมควรกล่าวถึง . . .
ทหารในกองทหารบกรถยนต์ซึ่งได้มาเสียชีวิตในดินแดนราชศัตรู ดังนี้
๑. นายสิบเอก ปุ้ย ขวัญยืน ถึงแก่กรรม ๒๒ มกราคม ๒๔๖๑
๒. จ่าสิบเอก เจริญ พิรอด " ๒๖ มกราคม ๒๔๖๑
๓. พลทหาร ศุข พ่วงเพิ่มพันธ์ " ๒๙ มกราคม ๒๔๖๑
๔. พลทหาร นาค พุฒมีผล " ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๑
๕. พลทหาร ศิลา นอบภูเขียว " ๒ มีนาคม ๒๔๖๑
๖. จ่านายสิบ หม่อมหลวง อุ่น อิศรเสนา ฯ " ๔ มีนาคม ๒๔๖๑
๗. พลทหาร ผ่อง อมาตยกุล " ๒๙ เมษายน ๒๔๖๑
๘. พลทหาร เปลี่ยน นุ่มปรีชา " ๑๓ มิถุนายน ๒๔๖๑
นายสิบพลทหารเหล่านี้ได้ถึงแก่กรรมโดยอุบัติเหตุในเวลาที่ไปทำการตามหน้าที่บ้าง บางนายถึงแก่กรรมโดยเจ็บไข้บ้าง ในชั้นต้นนั้น เวลาที่ทหารผู้ใดถึงแก่กรรม ผู้บังคับบัญชาได้จัดการนำศพไปฝังไว้ที่สุสานในเมืองลันเตา หรือที่ตำบลมุสสบาฆ แล้วแต่ตำบลที่ถึงแก่กรรมนั้นจะใกล้กับที่ใด การนำศพไปฝังนั้น ได้มีพิธีอ่านคำขมาศพ และจัดทหารไปเป็นหมู่เกียรติยศ ฝ่ายทหารฝรั่งเศสก็ได้จัดหมู่เกียรติยศมาคำนับศพเมือนกัน
อนุสาวรีฝังศพทหารไทยที่เมืองลันเตา
(อ่านข้อความในหนังสือได้ว่า จ. ม.ล. อ. อิศรเสนา ๑๐๔๓๒ เกิด ๓๑ ต.ค. ๒๔๓๖ ถึงแก่กรรม ๔ มี.ค. ๒๔๖๑)
อนุสาวรีฝังศพทหารไทยที่เมืองมูสบัก
ครั้นกองทหารบกรถยนต์ได้เสร็จหน้าที่ในการทำการส่งกำลังแล้วผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ได้ขออนุญาตขุดศพนายสิบพลทหารไทยทั้งสิ้น นำขึ้นรถยนต์ไปยังที่เผาศพในเมืองไมนส ในวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๖๒ เมื่อได้เผาศพแล้วได้เก็บอัฐิกลับมาพร้อมกับกองทหาร
< ที่เผาศพทหารไทยผู้เสียชีวิต
ขบวนเชิญศพไปยังที่เผา >
สวนสนาม . . . สวนสนามมหาไชย
ครับ เมื่อเสร็จศึกแล้วก็เป็นการเฉลิมฉลอง ก็และการเฉลิมฉลองของทหารนั้นก็คือ การสวนสนาม กองทหารบกรถยนต์ได้ร่วมสวนสนามฉลองชัยชนะใน กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และ กรุงบรัสเซลย์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ดังนี้นะครับ
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ ร่วมสวนสนามมหาไชยผ่านประตูชัยที่ กรุงปารีส ฝรั่งเศส
นายพันตรี หลวงรามฤทธิรงค์ (ต๋อย หัสดิเสวี - ต่อมาเป็นนายพันโท พระอาสาสงคราม) ผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ เดินนำแถวทหารที่อัญเชิญธงไชยเฉลิมพล
ร่วมสวนสนามมหาไชยที่ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๖๒
ร่วมสวนสนามมหาไชยที่ กรุงบรัสเซลย์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๒
การเดินทางกลับประเทศสยาม นายทหาร ได้มาถึง เป็นอันว่าได้มาถึงพร้อมทุกคน
เมื่อได้ทราบข่าวว่าเรือจะมาถึงเมืองมารเซย์ และจะออกเดินทางได้ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๒ ทหารในกองทหารบกรถยนต์ได้เดินทางมายังเมืองนี้เป็นชุดๆ
วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๒
เวลา ๑๒ นาฬิกา ๑๕ นาที ชุดที่ ๑ ได้ออกเดินทางจากค่ายพักมายังสถานีรถไฟ จำนวนซึ่งเดินทางในครั้งนี้ มีนายทหารสัญญาบัตร ๙ นายสิบ ๑๕๑ พลทหาร ๖๕๒ นายพีนตรี หลวงรามฤทธิรงค์เป็นผู้อำนวยการเดินทาง
เวลา ๑๔ นาฬิกา รถไฟได้เคลื่อนที่เดินทางมาเมืองมาเซย์
วันที่ ๑๙ สิงหาคม เวลา ๑๐ นาฬิกา ๑๕ นาที นายทหาร ๕๑ นาย ได้มาถึงเมืองมารเซย์ เป็นอันว่าทหารที่จะเดินทางกลับพระนครได้มาถึงพร้อมทุกคน
เวลา ๑๘ นาฬิกา ๑๕ นาที เรือมิเตาได้ใช้ฝีจักร์ออกจากท่า
ครับ . . . บรรดาท่านทหารอาสาทั้งหลายท่านได้ตรากตรำในสนามรบมาเป็นเวลาช้านานท่านอยากให้เรือมิเตาถึงเมืองไทยเสียในพริบตา แต่เมื่อเป็นไปไม่ได้ ท่านก็มิวิธีให้ได้ประโยชน์จากการเดินทาง เมื่อเรือออกจากท่าได้ประมาณสัปดาห์หนึ่ง เห็นว่านายทหารได้พักผ่อนพอแก่ความเหน็ดเหนื่อยตามสมควรแล้ว นายพันเอก พระเฉลิมอากาศ ได้ประชุมนายทหารชี้แจงความประสงค์ที่จะให้มีการบรรยายถึงวิชาความรู้เบ็ดเตล็ด ซึ่งนายทหารได้พบเห็นมาต่างๆ กัน เพื่อแลกเปลี่ยนกัน วันละประมาณ ๒ ชั่วโมง ช่วงเวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๐ นาที เป็นต้นไป เห็นไหมครับ ท่านใช้เวลาให้เป็นประโยชน์จริงๆ และ แล้ว . . .
๒๑ กันยายน ๒๔๖๒ ทหารอาสาชุดสุดท้ายได้เดินทางถึงกรุงเทพฯ
เวลา ๑๕ นาฬิกา ๔๕ นาที เรือลำเลียงได้มาถึงบริเวณท่าราชวรดิษฐ์
ที่ท่าราชวรดิษฐ์มีพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตลอดจนราษฎรได้ไปคอยรับทหารอยู่เป็นอันมาก ครั้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณะ ได้เสด็จขึ้นสู่เกยซึ่งตั้งไว้แล้วที่พน้าพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย ได้มีพระดำรัสประสาทพร และทรงประน้ำพระพุทธมนต์ทั่วกัน
แถวทหารเดินไปตามถนนมหาราช ถนนหน้าพระลาน ไปยังพลับพลายกซึ่งทำไว้ตรงถนนพระจันทร์ต่อกับถนนราชดำเนินใน ระหว่างที่เดินไปนี้ ทหารที่ตั้งแถวรายทางสองฟากถนนได้กระทำวันทยาวุธแสดงความเคารพ และเปล่งเสียงไชโย แตรวงบรรเลงเพลงมหาชัย มหาชนซึ่งเนืองนองกันมาต้อนรับทหารก็ได้ร้องไชโยอย่างเซ็งแซ่ ทั้งเดินวิ่งตามกองทหารเป็นการเอิกเกริกอย่างใหญ่หลวง
เมื่อกองทหารไปถึงหน้าพลับพลาแล้ว จึงได้จัดแถวตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินใน หันหน้าสู่พลับพลา ครั้นถึง เวลา ๑๗ นาฬิกา พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถยนต์พระที่นั่ง มาถึงที่ตั้งแถวทหาร เสด็จลงจากรถพระที่นั่ง . . . ฯลฯ . . . เสด็จพระราชดำเนินผ่านแถวทหารโดยตลอด เมื่อเสร็จการตรวจพลแล้ว จึงเสด็จประทับ ณ พลับพลา และมีพระราชดำรัสต้อนรับทหาร
. . . ฯลฯ . . .
เมื่อสิ้นกระแสรพระราชดำรัสแล้ว จึงนายพันตรี หลวงรามฤทธิรงค์ ผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ซึ่งไปราชการสงคราม นำผู้เชิญธงไชยเฉลิมพลเข้าไปสู่หน้าพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผูกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีที่ธงไชยนั้น แล้วผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ ก็นำผู้เชิญธงเดินผ่านตลอดแถวทหารจากปลายแถวไปสู่หัวแถว ทหารกระทำวันทยาวุธ แตรบรรเลงเพลงมหาชัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีแก่ธงไชยเฉลิมพลกองทหารบกรถยนต์
ต่อไปนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์แก่นายทหารต่างๆ เพื่อบำเหน็จความชอบ
ต่อนั้นกองทหารได้เดินสวนสนามผ่านหน้าพลับพลาถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเลยไปสู่ที่พัก ณ ศาลาว่าการกลาโหม
แต่เช้าวันนี้ ได้มีการตกแต่งสถานที่ของรัฐบาล และบ้านเรือนของพลเมืองทั่วไป ด้วยธงทิวและแพรพรรณต่างๆ พอพลบค่ำก็มีการแต่งประทีปทั่วพระนคร
ฯลฯ
ยังครับ ยังไม่หมด นอกจากนี้ กองทหารยังเดินไปถึงสถานฑูตอังกฤษ และสถานฑูตฝรั่งเศส ในพิธีต้อนรับอีกด้วย
สำหรับงานพระราชพิธีในวันที่ ๒๒ กันยายน เจ้าพนักงานได้จัดเตรียมที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ เชิญพระปฏิมากรชัยวัฒนประจำรัชกาลพร้อมทั้ง ๖ รัชกาล พระแสงดาบประจำรัชกาลทั้ง ๖ พระเต้าพระพุทธมนต์ พระครอบพระกริ่ง พระเต้าน้ำเครื่องสงพระมุรธาภิเศก ธงกระบี่ธุช ธงครุธพาห ธงจุฑาธุชธิปไตย ธงมหาไพชยนต์ธวัช ธงไชยเฉลิมพลของกองทหารบกรถยนต์ ซึ่งไปราชการสงคราม ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุดตาลคชาธาร ครั้นถึงเวลา ๑๗ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินสู่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม . . . ฯลฯ . . . พระสงฆ์ราชาคณะ ๑๙ รูปเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรไชยมงคล และอำนวยพรแก่สยามพระราชอาณาจักร จบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ธงราชกระบี่ธุช ธงพระครุธพ่าห
ธงราชกระบี่ธุช และธงพระครุธพ่าหน้อย
ธงจุฑาธุชธิปตัย ธงมหาไพชยนต์ธวัช
ทหารอาสางานพระราชสงครามทวีปยุโรป ณ ปราสาทพระเทพบิดร
รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย
วันที่ ๒๔ กันยายน เป็นวันฝังอัฐิทหารซึ่งได้ถึงแก่