ถ้ามองในมุมกลับ คุณเองน่าจะอยากได้เพื่อนไปทำเล็บ คุยเรื่องละครหลังข่าว ซีรียส์ Glee, Gossip Girl หรือยาวไปจนถึงเรื่องช้อปปิ้งเสื้อผ้า รองเท้า คอลเลคชั่นล่าสุดกับเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนๆ กัน มากกว่าอยากให้ผู้ชายแมนๆ ไปทำเล็บ ทำผม นั่งจิบชากับคุณแล้วคุยเรื่องการแต่งหน้า? (สาบานได้นะว่าจะมี... แต่เขาใช่ผู้ชายแน่เหรอ?)
เอาล่ะ ก็ในเมื่อเราทุกคนเองก็ต่างมีความชื่นชอบในกิจกรรมที่แตกต่างกัน ก็ต่างคนต่างแยกไปทำดีไหม ต่างคนต่างได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วค่อยมาเจอกัน ผมว่ามันก็น่าจะลงตัว ผมไม่เชื่อว่าการลากกันไปตลอดเวลาหรือมาบังคับให้ชอบอีกอย่างเลยจะพบความสุขที่แท้จริง ยกเว้นหนุ่มๆ ก็มีบ้างที่จะดูแลสาวๆ เขาบ้างเป็นบางเวลา ขับรถพาเพื่อนของเธอกับเธอไปกินข้าว ช้อปปิ้ง ช่วยดูแลบ้างนานๆ หนก็น่ารักดี
จากประสบการณ์ผมเอง ผมก็เคยติดเกมกับเพื่อนๆ ผู้ชายนะ ส่วนแฟนสาวก็ออกตัวขอไปนวดเลย อีก 2 ชั่วโมง เจอกัน พอกลับมาก็พากันไปกินข้าวยกขบวน ทุกอย่างเลยลงตัว
อีกกรณีหนึ่งที่แปลกหน่อยคือ คุณแฟนของเพื่อนก็มาอยู่ในแก๊งเล่นเกมไปเลย หลังจากนั้นก็เป็นที่รักในหมู่เพื่อนๆ ว่า "เจ๋ง" เป็นผู้หญิงที่เล่นเกมได้ด้วย หลังจากนั้นเพื่อนๆ ผู้ชายต่างก็ถามหาว่าวันนี้ไม่มาเหรอ อยากชวนเล่น กลายเป็นดอกไม้ในกลุ่มและเป็นคนสำคัญไปซะอย่างนั้น
เหมือนอย่างที่ผมบอกไปว่าผู้ชายเลือกกิจกรรมไม่ได้คิดเลือกคุณ ตรงนี้เองหลายคนมองเป็นผลเสีย แต่ก็มีประโยชน์ให้ได้ฉกฉวยเช่นกัน เพราะการยอมไปลองอยู่ในโลกของเขาบ้างก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ มันช่วยให้คุณเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงไปขลุกกับมัน แล้วเขามองหาอะไรจากตรงนั้น ก็ถ้าคุณรู้ว่าอะไรสำคัญ แล้วสำคัญยังไง อย่างไร คุณก็เอาความเขาใจเหล่านั้นมาต่อรองหรือขยายความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้
ผมไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันคือเส้นตายหรือการชี้ขาดว่าคุณต้องเลือกอะไร ห้ามทำอะไร มันไม่ใช่กฏหมาย มันคือการลงเรือลำเดียวกัน ก็ในเมื่อเขาอยากทำ คุณก็ต้องปล่อยให้เขาทำไปตามสมควร เช่นเดียวกันกับความต้องการของคุณ
ลองคิดดูว่า ถ้าปัญหาจะเกิดขึ้น มันย่อมเกิดจากหลายๆ ปัจจัย ดังนั้นถ้าเรื่องนี้ยังแก้ไม่ตก อย่าเลืมกลับมามองอีกครั้งก่อนตั้งแต่ต้นว่า...
"เอ๊ะ!" เขาติดกิจกรรมของเขามากเกินไปจริงๆ หรือคุณเป็นคนติดแฟนกันแน่?
ข้อมูล : นิตยสาร Cosmopolitan ฉบับเดือนมิถุนายน 2555