หลังจากที่แม่งับประตูตู้อบลง ตู้จะไม่สามารถเปิดได้อีก
เพราะว่าเซ็นเซอร์ล็อกจะทำงานทันทีที่เด็กขยับตัว ขณะที่ทางโรงพยาบาลจะติดกล้องวิดีโอตัวเล็กๆ ที่มุมบนภายในของกล่องเพื่อสังเกตทารกในกล่อง พร้อมกับส่งสัญญาณไปหาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเพื่อแจ้งการมาถึงของเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าอนาคตในวันข้างหน้าของตัวเองจะเป็นอย่างไร
อุปกรณ์ลักษณะนี้เคยใช้เป็นครั้งแรกเมื่อสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในประเทศอิตาลี
อันเป็นผลมาจากการที่คริสตจักรโรมันคาทอลิคพิพากษายืนยันว่า ผู้หญิงสามารถทิ้งลูกของตัวเองแบบลับๆ ได้แทนที่จะฆ่าลูกทิ้ง โดยอุปกรณ์ในสมัยนั้นเป็นเพียงล้อทรงกระบอกที่ติดไว้กับกำแพงของโบสถ์ และมีกระดิ่งติดไว้เพื่อให้แม่ลั่นกระดิ่งหลังจากที่นำลูกไปวางไว้แล้ว
วิธีการเช่นนี้แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรป และดำเนินไปจนกระทั่งหายไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ปัจจุบัน วิธีการนี้กลับแพร่หลายอีกครั้งทั่วโลก ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าแนวโน้มนี้เกิดจากอะไร บ้างก็ว่าเป็นเพราะความข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ หรือความบีบคั้นจากสังคมรอบข้าง
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ กล่องรับเด็กเหล่านี้มักจะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายศาสนาอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่ซึ่งการทิ้งลูกเพิ่งเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ส่วนในยุโรปนั้นก็มีกล่องรับเด็กเกิดขึ้นมากมายจากการริเริ่มของบรรดากลุ่มศาสนาต่างๆ
ส่วนที่เยอรมนีนั้น กล่องรับเด็กเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองฮัมบูร์กเมื่อปี 2543
และจากนั้นก็มีกล่องรับเด็กผุดขึ้นอีกมากมายทั่วประเทศอีกกว่า 200 แห่ง ซึ่งล้วนแต่รองรับเด็กที่ถูกทิ้งทั้งสิ้น โดยมีเด็กทารกหลายร้อยคนที่ถูกทิ้งในช่วงนั้น และมีคุณแม่หลายคนเลือกที่จะนำลูกมาทิ้งที่โรงพยาบาลไวด์ฟรีดิดที่ซึ่งเธอสามารถให้กำเนิดลูกได้โดยไม่ต้องแจ้งชื่อเสียงเรียงนาม ก่อนจะทิ้งลูกไว้และกลับไปใช้ชีวิตกลมกลืนกับสังคมอีกครั้ง