คนที่ปฏิเสธการกระทำของตนเองแล้วยังคิดว่าผิดอยู่ที่คนอื่น แสดงว่าอยู่ในภาวะของความหลง ซึ่งความหลงจะทำให้เขาเดินอยู่บนหนทางไม่ได้การที่เราต้องอยู่กับคนที่หลง คนที่มัวแต่โทษคนอื่นนั้น แม้มันจะน่ารำคาญ และน่าหมั่นไส้มาก แต่เราจำเป็นต้องเจริญสติให้มาก และต้องมีหิริและโอตตัปปะ คือเกรงตัวต่อบาปที่จะจมอยู่กับความขุ่นมัว และวิธีการที่จะป้องกันก็คือ อาจจะต้องแบ่งงานให้ชัดเจน ตามเช็กงานกันให้ละเอียดขึ้น ถี่ขึ้น เพื่อให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งคืออะไร และอยู่ในขั้นตอนไหนอย่ามัวแต่เพ่งโทษกันไปเพ่งกันมา เพราะรังแต่จะทำให้งานที่ทำไม่เติบโต
ใจคนทำก็จะเศร้าหมองลง และไม่มีความสุข
ลองเริ่มให้โอกาสตัวเราที่จะมองว่า ถ้าเรารู้ว่าเขาไม่รู้อะไร แล้วป้องกันให้เขาแก้ไขดีกว่าแก้ตัว เราอาจจะได้คนที่โทษคนอื่นน้อยลง แต่จะได้เพื่อนร่วมงานที่อาจจะไม่เก่ง แต่มีสำนึกมากขึ้น การที่เราไม่เอาโทษกับคนที่เพ่งโทษเรา ด้วยการโยนความผิดให้เรา เราก็จะยังมีทีมอยู่แต่ถ้าเราทำตัวเป็นเป้า เขาเพ่งถูกเพ่งผิดมา เราก็ยืดอกรับหมดว่าเขาว่าเราๆ
อย่างนี้เราจะอ่อนกำลัง
การอยู่กับคนที่ชอบโทษคนอื่น ก็เหมือนกับอยู่กับคนที่ชอบยิงธนูถึงจะถูกบ้างผิดบ้างก็อย่ามีเป้าธนูไว้รองรับลูกธนูของเขาให้ใช้วิธีพยายามที่จะอยู่บนความชัดเจนของการทำงานทีละก้าว เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และยืนยันอยู่ในสิ่งที่เขาคิดว่าจริง แต่ในความจริงมันไม่จริง เพราะการเพ่งโทษเกิดจากการไม่ได้มองความจริง แต่เพ่งไปด้วยอารมณ์ ก็ต้องทำความจริงให้ปรากฏ