แม้จะฤทธิ์เดชจะร้ายสักแค่ไหน ถ้ารู้วิธีก็จัดการได้
เราพบว่าคนไทยมีอาการของลมพิษมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงคนไทย 100 คนมี 20 คนที่เคยเป็นลมพิษอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ชนิดไม่จำกัดเพศและวัย
ลมพิษ...ฤทธิ์มาจากไหน
ลมพิษเกิดจากการที่ของเหลวซึ่งอยู่ในหลอดเลือดรั่วไหลออกมาอยู่ในผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นตุ่มหรือปื้นนูนบวมแดงขนาดเล็กใหญ่ต่างๆ กัน ผิวหนังส่วนนั้นจะเหมือนเปลือกผิวส้ม หรือเป็นไปได้กระทั่งเปลือกตาบวมจนเปิดไม่ได้ ริมฝีปากบวม มีอาการคันมาก
แต่ผื่นเหล่านี้จะหายภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่เหลือร่องรอยเลยถึงแม้จะไม่ได้รับการรักษา และก็จะมีผื่นใหม่ขึ้นมาอีก บางครั้งขณะที่มาพบแพทย์ ผื่นอาจหายไปหมดแล้วก็ได้ (เป็นโรคกลัวหมอว่างั้นเถอะ!) แต่หมอก็สามารถวินิจฉัยได้ เนื่องจากลักษณะนี้ไม่พบในโรคผิวหนังชนิดอื่น
ที่มาที่ไปของลมพิษ
สาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษมีหลายอย่าง แต่ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตามผื่นจะมีลักษณะเหมือนกันหมด จึงยากที่จะหาสาเหตุของลมพิษ ยกเว้นกรณีเดียว คือลมพิษที่เกิดเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เช่น หลังการออกกำลังกาย ผื่นจะเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่เกิน 4 มิลลิเมตร ไม่เป็นปื้นใหญ่ หายเร็วกว่าผื่นจากสาเหตุอื่น คือไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็หาย
สาเหตุของลมพิษที่พบบ่อย คือยาและอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล มักเป็นหลังรับประทานไม่กี่ชั่วโมง ถึงแม้จะเคยรับประทานมาหลายครั้งแล้ว โดยไม่เกิดลมพิษก็ตาม แต่บางครั้งอาจเจอแจ๊กพอตเข้าให้ได้
ยาทุกชนิดทำให้เกิดลมพิษได้ทั้งนั้น แต่ที่พบบ่อยคือยาปฏิชีวนะ การเป็นหวัด ฟันผุ หรือมีพยาธิในลำไส้ ก็ทำให้เกิดผื่นลมพิษได้ บางคนก็มีผื่นตามรอยเกา และรอยขีดข่วนบนผิวหนัง บางครั้งผื่นจะขึ้นตามรอยกดทับ เช่น ขอบกางเกง ขอบเสื้อ การนั่งนาน ๆ ก็เกิดผื่นที่ก้น เดินมากก็เกิดผื่นที่ฝ่าเท้า
หรือสิ่งที่เรานึกไม่ถึงก็เป็นสาเหตุได้ เช่น น้ำแข็งก็ทำให้เกิดลมพิษได้ บางคนโดนแสงแดดก็เกิดผื่นคัน สูดดมฝุ่นบ้าน หรือเกสรดอกไม้ครั้งใดก็เกิดผื่นคันทุกที จะเห็นว่าสาเหตุมันมีมากมาย แต่ผื่นลักษณะเหมือนกันหมด และที่น่าหนักใจยิ่งขึ้น คือบางคนอาจมีสาเหตุมากกว่า 1 อย่างก็ได้
ในรายที่เพิ่งเป็นลมพิษ สาเหตุมักมาจากอาหารและยา ผู้ป่วยมักจะทราบต้นเหตุ เนื่องจากลมพิษมักเกิดหลังรับประทานไม่กี่ชั่วโมง แต่ในรายที่เป็นๆ หายๆ มานาน มักหาสาเหตุได้ยาก ควรต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ตรวจร่างกายหาสิ่งผิดปกติ ส่วนการตรวจเลือดหรือตรวจพิเศษอย่างอื่นก็ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย
และไม่มีการตรวจใดที่จำเพาะบอกได้ว่า ลมพิษเกิดจากสาเหตุใด การทำ Skin Test ก็เชื่อถือไม่ได้ครับ เพราะถึงผลตรวจว่าแพ้ แต่เวลาเราได้รับสารนั้นจริงๆ อาจไม่เกิดลมพิษเลย หรือในทำนองกลับกัน แม้เกิดลมพิษทุกครั้งที่ได้รับสารนั้น แต่ผลตรวจว่าไม่แพ้ก็อาจเป็นได้
การทำสมุดบันทึกว่าผื่นขึ้นในช่วงใดของวัน ระหว่างการทำกิจกรรมใด หรือภายหลังการรับประทานอาหารหรือยาชนิดใด ก็จะช่วยค้นหาสาเหตุของลมพิษได้ครับ
รุนแรงแค่ไหนนะ
ความรุนแรงของลมพิษ ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจมีแค่ผื่นคันที่ผิวหนัง แต่อีกคนอาจมีปวดท้อง ท้องเสียร่วมด้วย แต่ที่รุนแรงอันตรายคือ เริ่มมีเสียงแหบ หายใจลำบาก อาการแบบนี้อันตรายมากถ้ารักษาไม่ทัน
หลบฤทธิ์ลมพิษ
การรักษาลมพิษที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ เช่น ถ้าแพ้อาหารทะเล ก็ไม่ควรรับประทานอีก แต่ถ้ามีลมพิษเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องพึ่งยาแก้แพ้ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด บางชนิดทานแล้วง่วง บางชนิดก็ไม่เกิดอาการง่วง แต่ราคาแพงกว่ามาก บางครั้งใช้ยาแก้แพ้ตัวหนึ่งไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาแก้แพ้อีกตัวจึง จะได้ผล หรืออาจต้องใช้ยาแก้แพ้ 2 ชนิดขึ้นไปร่วมกันในการรักษาจึงจะได้ผล
นอกจากยาแก้แพ้แล้ว ยารักษาโรคกระเพาะพวก H2 antagonist เช่น cimetidine เมื่อใช้ร่วมกับยาแก้แพ้แล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาลมพิษ ส่วนยาทาที่ผสม menthol, phenol หรือ camphor ก็จะทำให้เย็นผิวสบายตัว ลดอาการคันได้ รายที่เป็นลมพิษเรื้อรังอาจต้องรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจนะ