ระวังพฤติกรรม 4 จอร้าย...ทำลายสายตา ของหนุ่มสาวทำงานยุคดิจิตอล
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งนับวันเรายิ่งถูกเทคโนโลยีเหล่านี้ผลักดันให้เราใช้สายมากขึ้นและนานขึ้นในแต่ละวัน โดยเราไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายสายตาอยู่
เป็นที่น่าวิตกว่า คนส่วนใหญ่ใช้สายตาทำงานหนักมาก แต่กลับละเลยการดูแลสุขภาพดวงตา จนอาจมีอาการผิดปกติซึ่งส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือการทำงานของตา จากผลการสำรวจสุขภาพสายตาของคนไทย ของกระทรวงสาธารณสุขที่เคยสำรวจไว้ โดยใช้วิธีตรวจวัดสายตาในกลุ่มวัยแรงงาน ซึ่งมีประมาณ 45 ล้านคน พบว่าร้อยละ 30 มีสายตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างผิดปกติ โดยคาดว่าขณะนี้จะมีคนไทยไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคนมีสายตาผิดปกติ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ทำให้มีอาการเมื่อยตา ตาแห้ง เคืองตา แสบตา แพ้แสง ตาพร่า ปวดตา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาสายตา เช่น การทำงานกลางแจ้งและกลางแดดนาน ๆ การอ่านหนังสือในที่ ๆ แสงสว่างไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น
นพ.อาทิตย์ เจียรนัยศิลาวงศ์ จักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนในวัยทำงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มของการใช้คอมพิวเตอร์สูงขึ้น รวมถึงมีการใช้ดวงตาทำสิ่งต่างๆ มากมาย หรือแม้แต่ทำงานในที่ที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสม ล้วนแล้วแต่ทำให้ดวงตาเกิดอาการล้า ไม่สบายตา ปวดกระบอกตา ตาพร่ามัว ตาแห้ง กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็ง เคืองตา น้ำตาไหล ฯลฯ
นอกจากจอคอมพิวเตอร์แล้ว ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Gen S (Generation of Screen) ที่เป็นยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น และอยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ และนับวันแนวโน้มการใช้สายตาในการมองจอเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดเราควรปกป้องและดูแลสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายให้เสื่อมสภาพได้ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่นแสงแดดจ้า ลมแรง การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สายตาในที่ที่มีแสงสลัวหรือแสงที่ไม่เหมาะสม หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ก็ควรนั่งในระยะห่างที่เหมาะสม ปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอดี หยุดพักสายตาโดยการมองไปที่ไกลๆ เป็นระยะๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว กะพริบตาถี่ ๆ บ้าง เพื่อช่วยให้ตาชุ่มชื่น เพิ่มน้ำหล่อลื่นภายในดวงตา รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเดิน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดี ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพดวงตาปีละครั้ง และหากมีอาการผิดปกติ เกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง เคืองตา ควรรีบพบจักษุแพทย์
ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และอาหารที่ช่วยบำรุงและถนอมดวงตา ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การมีสุขภาพดวงตาที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการมีโภชนาการที่ดี ซึ่งก็คือ อาหารที่มีสารอาหารแอนติออกซิแดนท์ที่จะพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งจะมีวิตามินเอ ซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน และไบโอฟลาโวนอยด์ ส่วนเกลือแร่ที่สำคัญสำหรับดวงตาคือสังกะสี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มากมายหลายชนิด มีสารอาหารเหล่านั้นสูงเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอร์แรนต์ โช้คเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอยเซ็นเบอรี และฮัคเคิลเบอร์รี่ เป็นต้น
อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช เปิดเผยว่า จากการวิจัยเกี่ยวกับโรคตาในหลาย ๆ ประเทศพบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดยเฉพาะบิลเบอร์รี่ ที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย ซึ่ง บิลเบอร์รี่ ก็คือ บลูเบอร์รี่ที่เราชอบรับประทานกันนั่นเอง จากการศึกษาพบว่า สารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่น ๆ นอกจากนี้ บิลเบอร์รี่ยังมีวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน จึงช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยปกป้องเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย และยังมีหลายผลวิจัยพบว่าสารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ซึ่งลดความเสี่ยงโรคเบาหวานขึ้นตา ต้อหินและต้อกระจกได้หากควบคุมดูแลเบาหวานให้ดี และช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าของตาและช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการสังเคราะห์สารคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนของเลือด
นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่น ๆ ได้แก่ แบล็คเคอร์แรนต์ มีส่วนช่วยให้ตารับภาพในเวลากลางคืนได้ดี แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในสูง จึงให้ประโยชน์ในการช่วยดูแลสุขภาพดวงตา โช้คเบอร์รี่ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในตาดีขึ้น อาซาอิเบอร์รี่ ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตาได้ดียิ่งขึ้น เอลเดอร์เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงช่วยในเรื่องการมองเห็น และไม่นานมานี้ก็มีการวิจัยในอาสาสมัครที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่พบว่า การดื่มเอลเดอร์เบอร์รี่ ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้เร็วขึ้น และสตรอเบอร์รี่ ที่คนไทยรู้จักกันดีเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า วิตามินซี และวิตามินอี ในปริมาณเท่าๆกัน จึงอาจช่วยป้องกันโรคหวัดได้ อีกทั้งยังมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการพบว่า ฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่ปกป้องเซลล์ประสาทได้ดี ซึ่งบริเวณจอประสาทตามีเซลล์ประสาทสำหรับการรับภาพอยู่มาก
การรับประทานผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่หรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น จึงช่วยให้ได้สารอาหารบำรุงสายตามากมาย ลดอาการเหนื่อยล้าและอาการเจ็บตารวมถึงป้องกันหรือชะลอความเสื่อมที่ก่อให้เกิดโรคทางสายตา แต่ต้องมีปริมาณที่มากพอและเหมาะสมที่จะส่งผลต่อสุขภาพตา การรับประทานผลไม้เบอร์รี่ในรูปสกัดเข้มข้นย่อมได้สารแอนโธไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ในปริมาณมากกว่าการรับประทานผลสด หรือเตรียมเอง ทำให้ได้อาหารบำรุงตามากขึ้นในการป้องกันโรคและความผิดปกติที่เกิดกับดวงตา เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตาของคนยุคดิจิตอล ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของตาก่อนเวลาอันควรอย่างแท้จริง และนอกจากผลไม้ในกลุ่มเบอร์รี่แล้ว ยังมีผักและผลไม้อื่น ๆ ที่ช่วยในการบำรุงสายตาเช่นกัน ได้แก่ แครอท ผักบุ้ง ตำลึง ผักคะน้า มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น
ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!