'มุมสุขภาพ' ต้นสัปดาห์หลังผ่านวันหยุดแสนสุขไปถึง 3 วัน
โดยช่วงวันแม่ที่เพิ่งผ่านไป ลูกๆ บางบ้านคงได้พาคุณแม่และครอบครัวไปกินข้าวกันพร้อมหน้าเนื่องในโอกาสพิเศษที่ว่านั้น ทว่าบ้านไหนกินสไตล์พออิ่มคงไม่น่าห่วง แต่บ้านไหนที่กินอิ่มล้น อิ่มไม่อั้น อย่างบุฟเฟ่ต์นี่สิ อยากให้ตั้งใจอ่านข้อเสียทั้ง 6 เกี่ยวกับการกินจุ จากคุณหมอกฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
การกินมากไปก็ทำให้เป็นทุกขลาภแห่งลำไส้ ซึ่งอาการจัดหนักจากการกินมากเกินไปในแต่ละมื้อโดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์และท่านที่ชอบกินจนอิ่มมาถึงคอหอยก่อให้เกิดลาภลอยได้โรคดังต่อไปนี้ครับ
เริ่มตั้งแต่ 'หิวไว' คนกินหนักจะหิวไวในมื้อต่อไปครับ เพราะกระเพาะลำไส้ต้องทำงานหนักในการย่อยมื้อใหญ่ และน้ำตาลในเลือดก็จะลดไวทำให้เกิดอาการน้ำตาลต่ำหิวไวง่ายขึ้น
กินมากๆ ยังทำ 'ไส้พัง' เครื่องในก็เหมือนเครื่องรถที่ไม่ได้งดเว้นงานบ้างก็จะเสื่อมเร็ว อาหารที่เข้าไปมากทำให้ลำไส้เกิดปัญหา “รั่ว” ได้ และจากการบีบตัวไม่ได้พักก็ทำให้ “กรดไหลย้อน” มาถามหาได้เหมือนกัน
อาหารล้นท้องพลอยจะเจอ 'ตาตั้ง' ถ้าไม่ระวังกินจนอิ่มจัดจะทำให้เกิดอาการ “ตื่นตา” นอนไม่หลับเพราะลำไส้ไม่ได้พักและเกิดการแน่นอึดอัดท้องจากแก็สในอาหารที่หมักกันจนพุงหลามได้เหมือนถังเบียร์
กินจุคงเลี่ยง 'นั่งอ้วน' ได้ยาก ซึ่งตรงมาและตรงไปในบริบทของผู้รักบริโภค ยิ่งกินมื้อหนักอย่างบุฟเฟ่ต์มากเท่าไรก็ยิ่งได้แคลอรีส่วนเกินที่ลดยากขึ้นเท่านั้น เพราะการกินหนักเป็นบางมื้อทำให้ร่างกายเครียดและตับพังมีการหลั่งฮอร์โมนมารออกมาเพื่อเก็บไขมันไว้ให้มากขึ้นเพิ่มพูนน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
ทั้งยัง 'ชวนหงุดหงิด' ชีวิตแห่งการกินจะไม่มีวันสงบสุขด้วยอารมณ์ที่ทุกข์ขึ้นลงจากลิ้นที่ยึดรสเป็นสรณะ จะว่าคนอ้วนอารมณ์ดีนั้นก็ถูก แต่คนกินเก่งนั้นยากที่จะหาพื้นอารมณ์ที่แน่นมั่นคงได้เพราะเคมีในกายต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่อาหารเข้าปากและหนึ่งในเคมีที่ว่าคือ “เคมีแห่งอารมณ์” ครับ
และสุดท้าย 'คิดไม่ออก' คนกินอิ่มจัดไปทำให้ “หัวไม่แล่น” ครับ หนึ่งคือจากเลือดพากันไปเลี้ยงไส้เสียมากกับสองคือจาก “โกร๊ทฮอร์โมน” ไม่หลั่ง ทำให้ไม่มีพลังทั้งแรงกายและแรงใจที่ใช้คิด ถ้าอยากมีสมองที่แจ่มใสขึ้นขอให้กินแบบ “หิวนิดๆ” ครับเป็นการสงวนความคิดไว้ไม่ให้จมไปกับมื้อหนักหมด
การกินเยอะสิ่งแล้วยังฟีเจอริ่งด้วยของหวานอีกก็ถือเป็นอนันตริยกรรมแห่งการบริโภคเหมือนกัน
อย่าสำคัญตัวผิดว่าเป็นชูชกอยู่เพื่อกินหรือถือคติว่าท้องแตกดีกว่าของเหลือเพราะเมื่อถึงเวลาป่วยแล้วจะต้านไม่อยู่โรคจู่โจมแบบไม่ติดเบรคเพราะเครื่องยนต์กายเราไม่ได้ทำไว้ให้ “กินจนล้น” หากแต่สร้างไว้อย่างพอดีสำหรับให้กินอิ่มพอดีจนถึงว่า “หิวนิดๆ” ก็ยังอยู่ได้ด้วยมีระบบทดพลังงานไว้ให้ใช้ยามจำเป็น เห็นได้จากยามอดที่จะเกิดอาการง่วงซึมเพื่อจะได้ลดการใช้แรงลง แต่ในทางตรงข้ามยามอิ่มล้นเปี่ยมสุขร่างกายก็จะเกิดการง่วงเหมือนกันแต่เป็นการง่วงแบบกะปลกกะเปลี้ยที่เกิดจากอวัยวะภายในทำงานอย่างหนัก แล้วก็มัก “ได้เรื่อง” ตามมา
คราวหน้าจะกินหนัก คงต้องยั้งปากให้กินแค่พออิ่มกันแล้วล่ะ.