จากคอลัมภ์ ขนหัวลุก
หนังสือพิมพ์ ข่าวสด
"แดงน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในวันโปรยทาน เรื่องผีที่ผมเคยเจอะเจอมาไม่ค่อยโลดโผนพิสดาร หรือว่าสลับซับซ้อนจนเข้าใจยากอะไรหรอกครับ เป็นผีที่มาหลอกกันซึ่งๆ หน้า หลอกกันดื้อๆ แต่ก็ทำให้พวกเด็กๆ ที่ย่อมกลัวผีฝังจิตฝังใจอยู่แล้ว เกิดความตระหนกอกสั่นได้อย่างง่ายดาย
สมัยเด็กๆ ผมอยู่บ้านหมอ เมืองปากเพรียว หรือจังหวัดสระบุรี แดนดินถิ่นน้ำตกกับสวนพฤกษชาติ ที่พวกเราเรียกกันมาแต่ไหนแต่ไรว่า "สวนสวรรค์" นั่นแหละครับ กะหรี่ปั๊บกับขนมเปี๊ยะชื่อดังสุดอร่อยหลายเจ้า นอกจากนั้นยังมีดงทานตะวันเหลืองอร่ามเหมือนทะเลผืนกว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ถือว่าสวยงามเกินบรรยายไม่แพ้ทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีก็แล้วกัน
ผมเองเป็นเด็กบ้านหมอก็จริง แต่พ่อแม่มาฝากอยู่กับญาติห่างๆ ที่บวชอยู่วัดทอง พุ่มพวง ชื่อหลวงตาเที่ยง ตอนนั้นพระมหาแถมเป็นเจ้าอาวาส แล้วได้เป็นพระครูศีลโสภิต โบสถ์เก่าแก่ทรุดโทรมได้รับการบูรณะจนสวยงาม ฝังลูกนิมิตและยกช่อฟ้าเรียบร้อย หลวงตาเที่ยงยังเอาหวายในพิธีมาตัดแล้วเลี่ยมเงินร้อยเชือกให้ผมห้อยคอไว้ บอกว่ากันผีได้ชะงัดนักล่ะมึงเอ๋ย! โธ่! ก็ผี วัดทองนั้นดุร้ายจนถึงลือน่ะซีครับ
ศาลาสวดศพอยู่หลังใกล้ๆ กับป้าช้าเรียกกันว่า โรงทึม สัปเหร่อแขกผอมกงโก้หน้าปรุด้วยรอยฝีดาษอาศัยกินอยู่หลับนอนที่นั่นแหละ บอกตรงๆ ว่าตอนแรกที่เห็นหน้าตาแขกก็เลิกกลัวผีได้เลย เพราะหน้าตาสัปเหร่อผิวดำ ตาลึก จมูกงุ้ม แก้มยุบเป็นหลุมคนนี้เห็นแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าผีเป็นไหนๆ
ถึงเวลาเผาศพที พวกเด็กวัดกับเด็กบ้านก็ได้ครึกครื้นเฮฮากันที!
เสียงแตรวงดังแว่วมาจากเชิงสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก เลี้ยวซ้ายเข้าวัดมา เสียงมันน่าวังเวงใจจนหมาหอนเกรียวกราว ไม่สนุกครึกครื้นเหมือนแตรวงตอนบวชนาคหรอกครับ พระถือสายสิญจน์จูงโลงศพที่มีพวกญาติๆ แบกตามหลัง ศพไหนฐานะดีหน่อยก็จ้างเกวียนลากเข้ามา พวกเด็กๆ วิ่งตามกรูเกรียวเพราะรู้ดีว่าก่อนจะเผาศพต้องมีการโปรยทานแน่นอน
อะไรมันจะสนุกสนานสำหรับพวกเรายิ่งกว่าการแย่งทานที่เป็นเศษสตางค์กันอีกล่ะคุณ? ตอนนั้นสตางค์สิบกับยี่สิบเจาะรูตรงกลาง ซื้อไอติมหรือขนมกินได้สบายๆ ถ้าเป็นห้าสิบสตางค์ก็ต้องเป็นธนบัตรแล้วล่ะคุณ ซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าวัดกินได้หนึ่งชาม
มีพระสี่รูปมาสวดอภิธรรมหน้าโลงศพที่ตั้งบนไม้ 4 ขา 3 ตัว ก่อนจะยกศพไปที่เมรุก็มีการโปรยทาน เด็กๆ ก้มลงยื้อแย่งกันเกรียวกราว เด็กโค่งอีกหลายคนก็พลอยผสมโรงด้วย
วันเกิดเหตุเป็นศพชายชราจากบ้านดาวเรืองที่ถัดจากวัดทองขึ้นไป พวกเราก็เฮโลไปคอยแย่งทานตามเคย
ครั้นได้ทานรอบแรก พระสวดเสร็จก็หามศพมาวนซ้ายรอบเมรุ 3 รอบ พวกผู้ใหญ่บอกว่าเป็นการระลึกถึงพระไตรลักษณ์ทั้งสาม คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้างก็ว่าเพื่อเป็นการปลงอนิจจังและตักเตือนผู้อยู่ว่าสรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา บ้างก็เปรียบเทียบกับโลกมนุษย์, ยมโลก และโลกสวรรค์ อันเป็นจุดหมายปลายทาง สุดแท้แต่ว่าทำบาป-บุญไว้ในชาตินี้เป็นไฉน?
พอยกศพขึ้นเมรุปูนที่กะเทาะจนเห็นอิฐแดงๆ สัปเหร่อแขกจัดการผ่ามะพร้าวล้างหน้าศพ ยัดเงินใส่ปากผี พลิกศพแล้วทับด้วยฟืน 5-6 ท่อน ก่อนจะจุดไฟพึ่บ...มีเสียงญาติๆ ร้องไห้โฮ แล้วโปรยทานกันเป็นครั้งสุดท้าย เสียงเฮๆๆ พุ่งเข้าใส่เงินกันหัวดำเชียวครับ!
แย่งกันมา ผลักกันไป ผมตะครุบเหรียญ 20 สตางค์ได้หมับ ลุกขึ้นเพื่อจะยัดใส่กระเป๋ากางเกง อ้าว? ใครกระแทกไหล่เล่นทีเผลอ ฉกเงินจากมือผมดื้อๆ วิ่งอ้าวไปทางข้างเมรุที่ไฟกำลังลุกท่วมโลง กองฟอนขาวๆ ที่ตาแขกกวาดจากเมรุลงไปแถวโคนตะมะเกลือจนฝุ่นขาวลอยฟุ้ง...
"อย่าหนีนะมึง ไอ้หน้าขี้ขโมย!" ผมร้องตะโกนพลางวิ่งกวดไปติดๆ ไม่มีวันจะปล่อยให้ไอติมสองแท่งหลุดมือไปได้ง่ายๆ
ไอ้หมอนั่นวิ่งหน้าตั้งจนผมจุกกระจายเต็มหลัง ที่มีแต่กระดูกซี่โครงเป็นลูกระนาด ผ้าผ่อนก็ไม่ได้นุ่ง มันตะโพงไปทางดงสาบเสือ แล้วเลี้ยวไปทางดงมะกล่ำตาหนูที่พวกเราเคยมาเก็บไปเล่นกัน ถัดจากนั้นก็คือตลิ่งสูงลิ่วของแควป่าสัก...เล่นเอาผมฉุกใจวูบ เบรกพรืดทันใด
นรกเป็นพยาน! ไอ้จุกวิ่งจากตลิ่งไปสู่ความว่างเปล่าเหนือแคว หันมามองผมเศร้าๆ ชูสตางค์ในมือให้ดู ก่อนที่ร่างมันเลือนรางจางหายไป พร้อมกับที่ผมหันกลับโกยอ้าวไม่เหลียวหลัง...เข็ดหลาบการไปแย่งทานตั้งแต่นั้นมาเลยครับ!