เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย อธิบายว่า ปัญหาผิวแห้งแตกระแหงโดยเฉพาะบริเวณส้นเท้ากำลังกลายเป็นปัญหาเพราะแฟชั่น รองเท้าเปิดส้น สาว ๆ หลายคนต้องการเปิดเผยบริเวณส้นเท้าที่เรียบสะอาด จึงกลายเป็นภาระที่ต้องรักษาผิวส้นเท้าให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่ออวดผู้อื่นได้ แต่หลายคนมีปัญหาผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวหนังกำพร้าชั้นขี้ไคลของฝ่าเท้าจะหนา และสูญเสียน้ำจากผิวกว่าปกติ ผิวจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ผิวจึงแห้งแตก
นอก จากพันธุกรรมแล้ว ยังพบปัจจัยอื่นช่วยเสริมปัญหาผิวแห้งเช่น การทำงานในห้องปรับอากาศผิวจะแห้งเพราะความชื้นในห้องปรับอากาศจะต่ำกว่าภาย นอก หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นและสบู่เป็นเวลานานจะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยง ผิวออกเกินความจำเป็น การแก้ไขผิวแห้งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผิวแห้งด้วย
- ไม่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจนอ้วน เพราะจะทำให้ส้นเท้ารับน้ำหนักมากจนส้นเท้าแตก
- ไม่ปล่อยให้ผิวแห้ง เพราะมีแนวโน้มที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าส้นเปิด ถ้าต้องเดินบนพื้นเย็นๆ เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า โดยไม่สวมรองเท้าเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวจะเริ่มหนาแล้วแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผิวหนังส่วนนี้แห้งและแตก
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นมาก ทำให้ผิวแห้งง่าย เช่น ทำงานในห้องแอร์ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ทาครีมที่เท้าและส้นเท้าด้วย
- หลีกเลี่ยงการปล่อยให้เท้าสัมผัสน้ำบ่อยๆ หรือแช่น้ำนานๆ
- หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานานๆ บนพื้นเข็งๆ เช่น พื้นปูนซีเมนต์ โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมาก เพราะจะทำให้ส้นเท้าแตกง่ายด้วยค่ะ
สิ่งที่ควรทำ
- เท้าแตกเกิดจากการใส่รองเท้าเปิด ส้นนานๆ ด้วย เช่น รองเท้าแตะคีบ รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าสาน ดังนั้นหันมาใส่รองเท้าหุ้มส้น โดยเลือกรองเท้าที่บุพื้นภายในที่นุ่ม สวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าลำลองใส่ในบ้านบ้างค่ะ
- แช่เท้าในน้ำสบู่ 10-15 ให้ผิวที่แห้ง แตก หยาบกร้านนิ่มลง แล้วใช้หินขัดถูส้นเท้าสัปดาห์ละครั้ง
- หลังอาบน้ำใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนผิวชุ่มชื้น
- รักษาส้นเท้าแตก ด้วยสูตรธรรมชาติมากมายหลายสูตร เช่น...
- ทาด้วยน้ำมะนาวผสมดินสอพองหรือ ยางมะละกอ หรือถูด้วยสารส้มกับน้ำชุบสำลี หรือทายางต้นรัก หรือถูด้วยเปลือกกล้วยหอมก็ได้
- แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า หรือบดสตรอเบอร์รี่ เติมน้ำมันมะกอกกับเกลือ นวดส้นเท้า หรือผ่าส้มเป็นแว่น 2 ผล น้ำมันพืช 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย นำน้ำมันพืชผสมกับเกลือ จุ่มส้มลงไป แล้วนำมาขัดส้นเท้า
- ต้มนมเติมน้ำมะนาวกับ กลีเซอรีน พอเย็นใช้ทาส้นเท้าก่อนนอน ใส่ถุงเท้าฝ้ายทับเพื่อลดอาการแตก จะบดกล้วยหอมสุกหรือหัวหอมใหญ่ให้ละเอียดก็ได้ แล้วทาส้นเท้าแตก ใช้ผ้าพัน ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออกค่ะ
- ทาโลชั่นหรือน้ำมันเพื่อเพิ่มความ ชุ่มชื้นให้กับส้นเท้า โดยหลังจากที่ทาเสร็จแล้วให้สวมถุงเท้าหนาๆทันทีเพื่อเก็บกักความชุ่มชื้น ไว้ให้ได้มากที่สุด โดยให้ทาโลชั่นก่อนนอนและสวมถุงเท้าไว้ข้ามคทนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทำเช่นนี้จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
- นำเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ส้นเท้าแตก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที สารอาหารในเปลือกกล้วยจะช่วยสมานส้นเท้าที่แตกได้เปป็นอย่างดี
- แช่เท้าในน้ำมะนาว โดยควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ลองทำตามขั้นตอนนี้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง คุณจะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
- ทำ ความสะอาดและบำรุงเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านให้แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมสบู่ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วให้เช็ดเท้าพอหมาด จากนั้นลองทาครีมสูตรพิเศษที่เราผสมขึ้นมาเอง โดยนำวาสลีนผสมกับน้ำมะนาวหนึ่งลูก ผสมให้เข้ากันแล้วชะโลมลงบนส้นเท้าที่แตก
- เพิ่มความอ่อนนุ่มให้กับเท้าด้วยกลีเซอรีนและน้ำกุหลาบ จะเห็นผลชัดเจนเมื่อทำเป็นประจำ
- แว็กซ์เท้าด้วยพาราฟิน ผสมพาราฟินกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด แล้วทาตรงส่วนที่มีรอยแตก ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกในตอนเช้า ทำต่อเนื่องประมาณ 10-15 วัน จะเห็นผลที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
แถมท้ายด้วยวิธีการ ตัดเล็บ ให้ถูกวิธี
- เริ่ม ตัดเล็บตามแนวนอนก่อน จากทางด้านซ้ายหรือด้านขวาเข้ามากลางเล็บให้บรรจบกันตรงกลาง อย่าใช้วิธีการตัดเพียงครึ่งเดียวแล้วใช้มือดึงเล็บที่ติดอยู่ออกเอง ซึ่งเมื่อตัดตามนี้แล้ว เล็บจะเป็นปลายแหลมช่วงกลางเล็บพอดี
- ตะไบเล็บให้เรียบเสมอกัน
- ทำความสะอาดเศษเล็บและผงฝุ่น ออก และล้างเท้าด้วยน้ำสะอาด
- ทาโลชั่นหรือน้ำมันสำหรับนวดเล็บ บริเวณจมูกเล็บเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
missblendy.com