เรื่องที่จะเล่านี้เป็นประสบการณ์จริง ของผู้เขียนเอง เป็นเรื่องความรักของเกย์อีกมุมหนึ่ง ที่จะสะท้อนให้เห็นว่า ความรักของเกย์ถึงแม้จะเป็นความรักแท้ที่บริสุทธิ์ต่อกันแล้วก็จริง แต่กลับไม่มีความมั่นคง จะต้องพบกับการที่จะต้องพลัดพรากจากกันอยู่ร่ำไป ไม่ทางไดก็ทางหนึ่ง จึงทำให้ต้องเจ็บปวดและทรมานอยู่เสมอ แล้วก็ต้องแสวงหากันใหม่อย่างไม่รู้จบ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ผู้เขียนเป็นเกย์ตอนนี้อายุ 50 ปี(วันนี้ที่ 27/1/52) แล้ว มีรสนิยมชอบคนที่สูงอายุแบบอ้วนๆ ที่ดูน่านับถือและอบอุ่น ความรู้สึกที่ชอบแบบนี้ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีความรู้สึกต้องการทางเพศแล้ว (เริ่มตั้งแต่อายุ 18 ปี) ตอนนั้นยังไม่รู้หรอก ว่าตัวเองเป็นเกย์และก็ไม่ยอมรับด้วย ได้แต่ชอบมองผู้ชายสูงอายุที่ขาวๆอ้วน ประมาณ 50 ปีขึ้นไป และมีความรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นมาก เมื่ออยู่ใกล้ๆ ถ้ายิ่งได้สัมผัสก็จะยิ่งหลงไหลไปเลย ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีความรู้สึกที่จะชอบผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้เกลียจหรือรำคาญ และก็รู้ด้วยว่าผู้หญิงแบบไหนที่ผู้ชายเขาชอบกัน มีผู้หญิงหลายคนที่แอบมาชอบผม แต่ผมก็ตีตัวออกห่างเขาไป บางที่ก็โดนทั้งเพื่อนหญิงและชายด่าว่าไม่มีน้ำยา,ซื่อบื้อหรือน่าจะไปบวชเสียดีกว่าอะไรประมาณนั้นประจำเลย ผมมาได้ยอมรับตัวเอง และก็ไม่โกรธเวลาโดนล้อ ก็ตอนอายุย่างเข้าเลข 4 ผมจะไม่ขอเล่าถึงความ อึดอัด เก็บกด น้อยใจในโชคชะตา และความสมหวังความเจ็บปวดที่ผ่านมา เพราะมันหลากหลายมากมายนัก เรื่องที่ผมจะเหล้าในบทนี้ เป็นความรักที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เมื่อตอนผมอายุ 42 ปี ได้พบรักใหม่หลังจากคนเก่าได้ตายไปแล้ว ด้วยโรคหัวใจ คนล่าสุดนี้เป็นคนที่ 3 ตอนนั้นเขาอายุ 58ปี อ้วนผิวดำแดงเป็นคนจีนแบบสมัยเก่า พูดไทยไม่ค่อยชัด ถูกสเป็คผมมาก คงเป็นเพราะบุบเพ ที่ทำให้เขาก็ชอบผมเหมือนกัน เขามีภรรยาและลูกชายสองคน แต่ตอนนี้ลูกๆเขาโตแล้วมีงานมีการทำ และเขาก็ไม่ค่อยจะถูกกับภรรยาเขาเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะ พื้นฐานในจิตสำนึกเขาเป็นเกย์ เลยทำให้เขาไม่ค่อยได้อยู่กับภรรยาเท่าไหร่ เขาก็เที่ยวกับผู้ชายเหมือนกัน ก่อนที่จะมาพบกับผม เราคบกันมาแบบหลบๆซ่อนๆ เราจะนัดเจอกันตอนเย็นทุกวัน ไม่เคยค้างแรมกัน แต่ด้วยเวรหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ เขาได้รับอุบัติเหตุโดนรถชนจนขาหัก(เมื่อปี 2546) พอเขาออกจากโรงพยาบาล เขาจำเป็นต้องมาพักฟื้นอยู่ห้องผมเพราะสดวกกับการดูแล ตั้งแต่นั้นมาเราก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อย่างมีความสุข แต่เขาก็ไปหาภรรยาและลูกอาทิตย์ละ1-2ครั้ง และภรรยาเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไร ระหว่างผมกับเขา เราจะโกหกเขาว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน และยังโกหกเขาอีกว่า ผมนั้นมีลูกมีภรรยาแล้วอยู่ต่างจังหวัด ผมกับเขาจะคอยดูแลกัน ด้วยความรักที่มากมาย ไปเที่ยวไหนๆด้วยกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลกันและกัน ผมมีความสุขและกำลังใจ ได้สร้างฐานะเก็บเงินเก็บทอง จนถึงมาเมื่อปี 2549 ก็ได้ซื้อบ้านอยู่เป็นของตัวเอง หวังไว้ว่าเมื่อผมปลดเกษียณอายุ จะได้อยู่ด้วยกันจนกว่าใครจะสิ้ลมกันไปข้างหนึ่ง ผมคิดอยู่เสมอว่าพอถึงตอนนั้นเขาก็จะอายุ 70ปี และไม่ขออะไรมากขอให้เขาอยู่กับผมอีกสัก 5 ปีก็ฟอแล้ว เมื่อวันที่ 2/7/49 เราได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ ที่ซื้อมาจากแรงกายแรงใจที่มีต่อกัน ซึ่งตอนนี้เขาก็อายุ 66 ปี มันจะเป็นอาถรรพ์ หรือไม่ก็ไม่รู้ ตั้งแต่เราย้ายเข้ามาในบ้านใหม่นี้ เขาเริ่มที่จะไม่สบายบ่อยๆ สามวันดีสี่วันไข้ เขาเริ่มมีอารการเป็นตุ่มเม็ดๆ ที่ขาทั้งสองข้างเต็มไปหมด และก็ไม่สบายหนักเกือบไม่รอด ต้องไปนอนที่โรงพยาบาล 1 อาทิตย์หมอบอกว่าปอดอักเสบและโลหิตจาง พอกลับมาอยู่บ้านกินยาที่หมอให้มา เขาก็เริ่มดีขึ้นและอ้วนขึ้นเหมือนเดิมอีก แต่อาการที่เป็นตุ่มเม็ดที่ขากลับเป็นมากขึ้น ผมเลยพาไปที่โรงพยาบาลศิริราช หมอได้ตรวจเลือดทุกข้อ (ยกเว้น hiv ) ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลย หมอเลยลงความเห็นว่า แพ้เกสรดอกไม้ ได้ให้ครีมและยาแก้แพ้ ผ่านไป 6 เดือน อาการกลับซุดหนักขึ้นอีก คราวนี้มีอาการเป็นไข้สูงจะเป็นตอนเย็นทุกวัน และไอมากๆ เขาเริ่มผอมลงอีก เป็นอยู่ 3 ทิตย์ผมเห็นท่าไม่ดีขึ้น เลยต้องไปนอนโรงพยาบาล อาการกลับแย่ลงมีเชื้อราเข้าสมอง และปอดอักเส็บ ต้องอยู่ห้อง icu หมอพยายามให้ยาฆ่าเชื่อก็ไม่ดีขึ้น ความรู้สึกของผมตอนนั้น พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเป็นห่วงและสงสารเขามาก เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล 4 อาทิตย์ หมอได้นัดภรรยาเขามาฟังถึงสาเหตุที่เขาเป็นอยู่ และภรรยาเขาก็เรียกให้ผมไปฟังด้วย หมอบอกว่าทำใจดีๆไว้นะ ภรรยาเขาร้องให้ขึ้นมาทันที และก็ได้ระบายความคับแค้นในใจให้หมอฟัง ก่อนที่หมอจะบอกว่าเขาเป็นอะไร ภรรยาบอกหมอว่า ฉันทำใจได้ตั้งนานแล้ว เขาทำให้ฉันต้องเจ็บปวดเหลือเกิน ที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่ขาหัก ไปอยู่บ้านอาเจ็ก(อาเจ็กคือผมเองที่เขาเรียกมาตลอด) ไม่บอกฉันซักคำ และไม่มาดูแลลูกๆ ฉันทำใจได้ตั้งนานแล้ว พูดไปก็ร้องให้ไป ความรู้สึกของผมตอนนั้น พอได้ยินภรรยาเขาระบายออกมาแบบนั้น เหมือนถูกหนามทิ่มแทงในหัวใจผมเลย เพราะเรานี่เองที่ทำให้ครอบครัวเขา ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด โดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวรกรรมแท้ๆ แล้วหมอเขาได้เน้นคำพูดออกมา ฟังนะที่คนไข้เขาเป็นอยู่ขณะนี้ คือเขาเป็นโรคเอดส์ โอ้พระเจ้าผมมือสั่นแทบจะช็อคแต่ต้องข่มความรู้สึกไว้เดี๋ยวเขาจะสงสัย ภรรยาเขาก็ร้องให้โฮขึ้นมาทันที และก็บ่นไปว่าสมน้ำหน้ามัน สงสัยมันไปเที่ยวมั่วๆมาแน่ๆ หมอเขาแนะนำให้ภรรยาไปตรวจเลือดด้วย และผมก็แกล้งถามหมอว่า อย่างผมนีอยู่ใกล้ชิดเขาตลอดแบบนี้ต้องไปตรวจหรือเปล่า หมอบอกว่าคุณไปมีอะไรกับเขาหรือเปล่าละ "
อะไรมันเกิดขึ้นกับผมหรือนี่ ไหนจะสงสารเขาจับใจ ยังมีความรู้สึกว่าเป็นบาบอีก ที่ทำกับครอบครัวเขา และแน่นอนเราต้องติดเชื้อเหมือนกัน ผมทำอะไรไม่ถูกเลย วันนั้นผมรีบไปตรวจเลือดทันที ตรวจแบบรอผล 1 ชม. ผลออกมาเป็นบวกจริงๆด้วย ไม่แน่ใจเลยไปตรวจอีก รพ.ผลออกมาเหมือนกัน ผมแทบเป็นบ้าไปเลย กลับไปหาเขาที่ รพ.และก็บอกความจริงให้เขารู้ แต่เขาไม่ค่อยรับรู้อะไร ด้วยฤทธิ์ของเชื้อราที่เข้าไปในสยมองเขา ผมแอบไปร้องให้ในห้องน้ำ
ผมบอกหมอว่าให้เขากลับบ้านเถอะหมอ หมอเขาก็ยอม ผมนำตัวเขาไปนอนที่บ้านและต้องใส่แพมเพิท และป้อนเข้า เขานอนทรมานบางครั้งก็ช็อคเป็นระยะๆ ผมสงสารเขาเหลือเกิน และไหนตัวเองก็ต้องติดเชื้อด้วย ผมก็หาทางคิดที่ตายเสียดีกว่าทั้งคู่พร้อมๆกัน เขานอนอยู่ที่บ้านได้ 1 อาทิตย์เขาก็สิ้นลมจากไปอย่างสงบเมื่อปลายปี 50 นี้เอง
ผมได้แต่ร้องให้อยู่เป็นเดือน แล้วก็ทำบุญตักบารต ให้เขาแทบทุกวันจนถึงเดี๋ยวนี้ และผมก็ไดเจอเพื่อนๆชาว h ที่เวบ pha.narak.com คอยให้กำลังใจและให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่งโรคเอดส์อย่างละเอียด ตอนนี้ผมทำใจได้แล้ว และค่า cd4 ผมก็ยังยังสูงอยู่ ผมจะไม่โทษใครทั้งนั้น ถือเสียว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมคงจะลืมเขาได้ยากมาก ไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้อาจจะเป็นอุทาหรณ์ได้ กับหลายๆคนนะครับ ขออย่าได้ประมาทและผิดศิลอีกเลย
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday