ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง
ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ฉะนั้น คนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน แนะนำน้ำขิงร้อนๆ เพราะขิงมีสารเคมีที่เรียกว่า จินเจอรอลที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้ทั้งรสและกลิ่นไม่เหมือนใคร การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไปต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไปเพราะขิงจะเสียรสเสียกลิ่นไปได้มาก หลังจากนั้นคุณจะดิ่มเ ปล่าๆหรือเติมน้ำตาลเพิ่มรสชาดก็ได้
ส่วนผสม
1. ขิงสดขนาดหัวแม่มือ 1-2 แง่ง
2. น้ำสะอาดต้มสุก 1 แก้ว (150-200 ซีซี)
3. น้ำตาลทรายแดง 1-2 ช้อนชา
วิธีชง
ฝานขิงบาง ๆ ประมาณ 1 ขยุ้มมือ ใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำเดือดจัด ๆ ให้เต็มถ้วยชา ปิดฝาตั้งทิ้งไว้พออุ่นก็ตักขิงออก เติมน้ำตาลทรายแดง 1-2 ช้อนชา ดื่มรวดเดียวจนหมด วิธีชงแบบนี้จะได้น้ำขิงที่สดใหม่ มีสรรพคุณยาเต็มที่ เพราะน้ำมันหอมระเหยจะไม่หนีหายไปไหน
วิธีต้ม
ใช้ขิงสดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ทุบให้แตก หรือหั่นเป็นแว่นก็ได้ต้มกับน้ำ 1 แก้ว ใช้ไฟอ่อน ๆ ต้มให้เดือดนาน 5 นาที แล้วยกลงเติมน้ำตาลตามต้องการ การดื่มน้ำขิงปกติควรดื่มวันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้าเตรียมน้ำขิงไว้ดื่มเป็นจำนวนมากขึ้นให้เพิ่มขิงและน้ำตามส่วน แต่ต้องกะให้ดื่มหมดภายในวันเดียวไม่ควรค้างคืน