ท่าน้ำผีสิง .. เรื่องเล่าขนหัวลุก จากเมืองนนท์
"ผู้อ่าน" เล่าเรื่องสยองขวัญจากสวนทุเรียนเมืองนนท์
สมัยเด็กผมอยู่ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่เอง พวกรุ่นพี่ที่เรียนสูงๆ แบบ เช้าไป-เย็นกลับน่ะ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวแล้วออกจากบ้านไม่เกินตี 5 ต้องใช้เวลาเดินทางอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ
พวกเด็กรุ่นไล่เลี่ยกับผมหลายคนไปเรียนต่อที่ตัวจังหวัดเลย โดนพ่อแม่พาไปฝากเป็นอารามบอย ให้อยู่วัดกับหลวงลุงหลวงน้าหลวงอา เช่น ที่วัดเขมา, วัดท้ายเมือง, วัดบางขวาง เป็นต้น
บ้านเราอยู่ริมคลอง ผมกับพี่ชายเช้าขึ้นมาเราก็ช่วยกันพายเรือบดไปโรงเรียน พ่อบอกว่าเรียนจบม.6 ก็พอ โตขึ้นจะได้ช่วยทำงานในสวนทุเรียนซะเลย!
ชาวสวนทำงานหนักครับ ไหนจะปลูกต้นไม้ ดูแลรักษา ถางหญ้า ลอกท้องร่อง...โอ๊ย! สารพัดล่ะ ลูกจ้างก็ไม่มีหรอก สวนใครสวนมัน ถึงจะเป็นญาติๆ กันแต่ก็ต้องคอยดูแลเรือกสวนของตน...ต่างคนต่างเหนื่อยกันทั้งนั้น
ถ้ามีผลไม้เยอะๆ ก็ขนใส่เรือแจวไปขาย เช่น ทุเรียน, ส้ม, กล้วย, มะละกอ...แจวกันไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ ขากลับก็ซื้อเครื่องดองของเค็มกับผักต่างๆ มากินมาขายที่บางใหญ่...ถึงจะดินดีน้ำดี แต่ชาวบ้านส่วนมากไม่นิยมปลูกผักกันหรอกครับ
ถึงงานเทศกาลหรืองานวัด งานบวช งานแต่งงานนี่สนุกนักเชียว...พวกผู้ใหญ่ไปช่วยงาน พวกเด็กๆ วิ่งกันครืน อาหารการกินกับขนมนมเนยเหลือเฟือ เล่นเอาอิ่มตื้อท้องกางไปตามๆ กัน
สมัยก่อนการรดน้ำสังข์ในพิธีแต่งงานยังไม่มี แต่ มีการ "ซัดน้ำ" ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวชนิดที่ซัดกันจริงๆ จนเปียกปอนชุ่มโชกไปทั้งตัว ในวันสุกดิบจะใช้เครื่องสายมโหรีขับกล่อมไพเราะเสนาะหู บางตำบลก็มีการ "ทำขวัญหอ" หรือเรียกว่า "กล่อมหอ"
ตำบลบางม่วงน่ะเป็นแหล่งรวมดนตรีไทยที่มี ชื่อเสียงหลายวง เอ่ยถึงครูหยด, ครูเฉลิม, ครูกาหลง คนเก่าๆ รู้จักดีทั้งนั้น แม้ว่าเดี๋ยวนี้พวกท่านจะสิ้นบุญไปแล้ว แต่ยังมีทายาทสืบทอด รับแสดงในงานต่างๆ เรื่อยมา
วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นในสวนใกล้ๆ กับ บ้านผม!
พี่เพ็ญเป็นสาวสวย พูดจาอ่อนหวาน ช่วยพ่อแม่ทำงานขยันขันแข็ง มีข้อเสียอยู่ที่เป็นคนใจน้อย อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็น้ำตาร่วงแล้ว...กำลังรักใคร่กับพี่มากเป็นที่ รู้กันทั้งตำบล
เพราะนิสัยใจน้อย ทำให้มีเรื่องกะบึงกะบอน เง้างอด แสนงอนเป็นช้อนหอยอยู่บ่อยๆ พี่มากต้องเป็นฝ่ายงอนง้อขอคืนดีเป็นประจำ
จนกระทั่งเกิดเหตุใหญ่โตเพราะนิสัยใจน้อย ขี้หึง แบบไม่ลืมหูลืมตาของพี่เพ็ญนี่เอง!
วันหนึ่งเห็นพี่มากพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกับ สาวแปลกหน้าที่มาจากจังหวัด...แค่นั้นพี่เพ็ญก็ร้องไห้โฮวิ่งกลับบ้าน ตกดึกก็ออกไปแขวนคอตายที่ต้นทุเรียน ทั้งที่สาวคนนั้นมาหาเพื่อนแต่ไปไม่ถูกเลยถามทางพี่มากเท่านั้นแหละ!
คราวนี้ก็เกิดเรื่องซีครับ เพราะถึงแม้ว่าร่างกายพี่เพ็ญจะถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แต่หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีแกหลอกเข้าจังๆ
ลุงหนิดพายเรือผ่านท่าน้ำตอนค่ำ เห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนขั้นบันไดตอนล่าง ติดกับสะพานแคบๆ สำหรับเทียบเรือ นึกว่าป้าพริ้ง-แม่พี่เพ็ญ เลยร้องถามยั่วเย้าว่าค่ำมืดแล้วยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? ไม่กลัวไอ้เข้หรือไง...
เสียงลุงหนิดขาดหายเมื่อเห็นหญิงนั้นเงยหน้าช้าๆ ก่อนจะหันหลังขึ้นบันไดไป...
ไม่ใช่ป้าพริ้งแต่เป็นพี่เพ็ญน่ะเอง! หมาเจ้ากรรมโก่งคอหอนโจ๋ ลุงหนิดตาลีตาเหลือกจ้ำพายจนน้ำบานแทบไม่คิดชีวิต แผดร้องโหวกโหวยแต่ว่า...ผีหลอกโว้ย! ผีหลอกกูแล้ว...ถึงบ้านก็นอนจับไข้หนักอยู่ตั้ง 3-4 วัน
ท่าน้ำใกล้กันนั้นมีลูกสาวสองคนชื่อพี่บัวกับพี่บุญ กำลังแรกรุ่นจำเริญวัย ได้ข่าวเรื่องลุงหนิดถูกผีพี่เพ็ญหลอกเอาตอนค่ำ แถมทั้งสองยังสนิทกับพี่เพ็ญอีกด้วย เล่นเอาใจตุ๊มๆ ต้อมๆ รีบลงบันไดอาบน้ำที่ท่าหน้าบ้านตั้งแต่ก่อนค่ำเพื่อความไม่ประมาท
ขณะที่กำลังอาบน้ำสำราญใจ จู่ๆ ก็หนาวเยือกตัวแข็งทื่อไปทั้งคู่!
ใครคนหนึ่งยืนแช่น้ำครึ่งตัว แทรกกลาง มีเสียงแหบโหยน่าขนลุกดังขึ้นว่า...ขอฉันอาบน้ำด้วยคนนะ...
สองสาวร้องจ้าผงะหน้า นัยน์ตาเหลือกลาน เมื่อเห็นปีศาจพี่เพ็ญหน้าเขียวอื๋อ ตาถลนออกมานอกเบ้า แย่งกันตะเกียกตะกายขึ้นบันได พลัดตกน้ำลงมาก็ร้องกรี๊ดๆ ก่อนตะกายขึ้นไปใหม่...คนหนึ่งลืมผ้านุ่งไว้ที่บันได ไม่รู้ว่าวิ่งตัวเปล่าๆ เข้าบ้านได้ยังไง?
พ่อแม่พี่เพ็ญต้องไปตามหมอไสยศาสตร์ชาวมอญจากบางกรวยมาทำพิธีที่ต้นทุเรียนอันเป็นจุดตายของลูกสาว...วิญญาณของพี่เพ็ญก็สงบสุขตั้งแต่นั้นมา
นสพ.ข่าวสด