วาบหวิว...สยิวทรวง ชุดนักศึกษาที่ใครๆ ก็อยาก“เปลี่ยน”
แม้ว่าโครงการรณรงค์เรื่องเครื่องแต่งกายนิสิต-นักศึกษาจะได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานาน และมีโครงการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่หลายมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้ประเมินความสำเร็จของโครงการต่างๆ เป็นเสียงเดียวกันว่า โครงการรณรงค์เครื่องแต่งกายนักศึกษาที่ได้กระทำกันต่อเนื่องมาตลอดนั้น ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังคงมีนักศึกษาบางส่วนที่แต่งกายผิดระเบียบ โดยมหาวิทยาลัยรัฐบาลกล่าวว่า ในส่วนของนักศึกษาปี 1 หรือรุ่นน้องเฟรชชี่ ถือว่าประสบความสำเร็จถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ในเรื่องของการสร้างทัศนะคติ เพราะมีรุ่นพี่ที่คอยดูแลอยู่ ส่วนของนักศึกษาปี 2-4 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องของการปรับทรรศนะคติให้มองถึงประโยชน์แง่ดีในภาพลักษณ์ของการเป็นนักศึกษามากกว่า
แม้ปัจจุบันจะยังมีชุดนักศึกษาแบบผิดระเบียบตามแฟชั่นให้เราได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นส่วนน้อยจากมหาวิทยาลัยรัฐบาล หรือครึ่งๆ จากมหาวิทยาลัยเอกชน แต่ส่วนลึกๆ แล้วนิสิต-นักศึกษาส่วนใหญ่ตระหนักรู้ถึงประโยชน์และโทษของการแต่งกายผิดระเบียบ หรือวาบหวิว จนเกินขอบข่ายของชุดนักศึกษา รู้ว่าการแต่งโป๊จนเกินไปอาจนำมาซึ่งอาชญากรรมทางเพศได้ จากมุมมองของตัวนักศึกษาเองต้องบอกเลยว่า “ตระหนักรู้ แต่ก็ยากที่จะปฏิบัติตาม” ส่วนใหญ่เข้าใจและตระหนักถึงสิ่งที่มหาวิทยาลัย และสิ่งที่อาจารย์กำลังสื่อสาร แต่การเข้าใจและรู้ว่าระเบียบของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร กับการปฏิบัติบางทีมันก็เป็นไปได้ยาก
เครื่องแบบ…ไม่มีผลต่อการเรียนเก่งหรือไม่เก่ง
จากความเห็นของนักศึกษาส่วนใหญ่ในเรื่องทัศนะคติเกี่ยวกับเครื่องแบบนักศึกษา ให้ความหมายตรงกันว่า ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งกายอย่างไรก็ไม่มีผลกับการเรียนอย่างแน่นอน เครื่องแบบนักศึกษาไม่ได้ทำให้พวกเขาเรียนเก่งขึ้น หรือแย่ลง สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงองค์ประกอบภายนอก และถึงแม้ว่าเครื่องแบบนักศึกษาจะไม่มีผลต่อการเรียนก็จริง แต่ทุกคนก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า“เครื่องแบบนักศึกษา คือ ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย”
ในมุมมองของนักศึกษาธรรมศาสตร์ เห็นด้วยว่า “การแต่งกายอย่างไรก็ไม่มีผลกับการเรียน เรามีหน้าที่มาเรียนเราก็ต้องโฟกัสที่การเรียนเป็นหลัก ไม่ได้สนใจว่าเราต้องแต่งกายอย่างไร สวยงาม หล่อ เท่ห์ เข้ามาเรียน แต่งตัวตามสบาย และเหมาะสมกับบริบทของการเรียน แต่ถ้าแต่งตามสบายแต่ดูไม่สุภาพ ก็ไม่เห็นด้วย เราจึงได้มีการรณรงค์ให้แต่งกายในชุดสุภาพเข้าไปเรียน เพราะว่ามันก็เป็นการให้เกียรติกับสถาบัน อาจารย์ผู้สอน และที่สำคัญก็เป็นภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน”
ด้าน นายภานุพงศ์ เงาะลำดวน นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ ม.ศิลปากร ได้แสดงความคิดเห็นต่อความสำคัญของเครื่องแบบนักศึกษาว่า แม้การใส่เครื่องแบบจะไม่มีผลกับการเรียนก็จริง แต่มันแสดงถึงภาระหน้าที่ที่เรากำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น
“เครื่องแบบก็เหมือนกับการใส่หัวโขนอย่างหนึ่ง ในการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมปกติ เดินปนกันไปปนกันมา เราจะรู้ไหมว่าใครเป็นโจร ใครเป็นตำรวจถ้าเขาไม่ใส่ยูนิฟอร์ม เราจะรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และเราจะรู้ไหมว่าใครเป็นนักศึกษาเหมือนเรา? คุณจะไม่รู้อะไรเลยถ้าไม่จำแนกกลุ่มคนพวกนี้ออกมา แต่ถ้าถามว่ามันเป็นการบังคับให้เขาต้องทำตามไหม อันนี้มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เขาต้องเรียนรู้และเลือกเพื่อตัวของเขาเองมากกว่า”
การที่นักศึกษาจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยใดก็ตาม นอกจากความรู้ที่ได้ตักตวงออกไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องได้ไปนั่นก็คือทักษะทางสังคม ถ้ามีความรู้อย่างเดียวแต่ไม่รู้จักมารยาททางสังคมเลย มันก็เท่ากับว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” อย่างเรื่องการแต่งกายก็เป็นเรื่องของกาลเทศะ ต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ถ้าอยู่ในมหาวิทยาลัยสถานะคือนิสิต-นักศึกษา จะต้องรู้ว่าควรจะแต่งตัวอย่างไร ตราบใดที่ยังมีเข็มและตรามหาวิทยาลัยติดอยู่ที่หน้าอก พวกคุณคือ “ภาพลักษณ์” ของมหาวิทยาลัย ที่ไม่ใช่เรียบร้อยอยู่ภายในรั้วของมหาวิทยาลัยเท่านั้น เวลาออกไปข้างนอกก็ควรที่จะรักษาภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน.
Credit Manager