1. เรื่องราวของ “น้องแอ๊ด” หรือ ด.ช.อดิศักดิ์ ขาวพู่
เด็กชายตัวน้อยผู้ต้องประสบอุบัติเหตุจากเหตุคนขับรถโดยสารที่มีอาการเมาสุราขับรถพุ่งชนรถซาเล้งที่มีพ่อเป็นคนขับ โดยมีแม่และน้องแอ๊ดในวัยเพียง 2 ขวบนั่งอยู่ที่รถ
เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้พ่อและแม่ของน้องแอ๊ดเสียชีวิตคาที่ ขณะที่น้องแอ๊ดซึงคุณแม่ยอมเสี่ยงโยนลูกออกจากรถก่อนซาเล้งจะถูกรถชน
หลังกระแทกกับทางเท้า ลำไส้ทะลุ ม้ามแตก และทำให้น้องแอ๊ดกลายเป็นคนพิการไม่สามารถเดินได้นับแต่นั้นมา หลังสูญเสียทั้งพ่อและแม่จากเหตุการณ์ในคราวเดียว ทำให้น้องแอ๊ดเหลือเพียงแค่ตาคนเดียว ซึ่งไม่มีความรู้ในการดูแลเด็กพิการ
ประกอบกับความยากจนทำให้บางครั้งน้องแอ๊ดถูกตาพาไปนั่งขอทานตามถนน
เนื้อตัวมีแผลเต็มตัวและเริ่มเป็นหูน้ำหนวก น้องแอ๊ดเล่าว่า “ผมเดินไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก
พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะมีคนเมาขับรถมาชนพ่อกับแม่จนเสียชีวิต
ตอนนั้นจำความไม่ได้เพราะยังเด็กมาก แต่ตอนนี้ผมช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน และเข็ญรถเข็นไปไหนมาไหน เวลาว่างผมจะชอบวาดภาพ เช่น การ์ตูน ภูเขา ต้นไม้ หรือภาพพ่อกับแม่ตามจินตนาการ บางทีก็ไปดูเพื่อนๆ เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ บางครั้งก็อยากเล่นกับเพื่อน แต่ก็รู้ว่าเดินไม่ได้ รู้สึกเสียใจอยากเดินได้ ถ้าขอพรได้อยากขอให้เดินได้เหมือนคนอื่น และถ้าโตขึ้นก็จะไม่ดื่มเหล้า เพราะไม่ชอบคนเมา คนเมาทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย”
2. คดี “น้องน้ำมนต์” หรือ น.ส.พิมลรัตน์
หนึ่งในเหยื่อจากเหตุการณ์รถกระบะพุ่งชนร้านทองเซ่งเฮงหลี เยาวราช สาขาสะพานใหม่
โดยในวันเกิดเหตุน้องน้ำมนต์นั่งอยู่ในร้านขายทองกับคุณแม่
หลังจากเหตุการณ์น้องน้ำมนต์ต้องเจอกับอาการกระดูกหักหลายจุด ทั้งสะโพกหัก ขาซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ข้อแขนซ้ายเคลื่อน เส้นเอ็นขาดที่ไหล่ขวา กระดูกคอเคลื่อน กรามหัก 3 ท่อน เลือดออกในช่องอกข้างขวา ซี่โครงข้างขวาซี่ที่ 4 หัก เป็นเหตุให้ขณะนี้น้องน้ำมนต์เดินไม่ได้ และต้องใช้ของเหลวดูดกินอาหาร แม้น้องน้ำมนต์จะกลับมาพักที่บ้านได้แล้วแต่ก็ยังบาดเจ็บอยู่มาก และเนื่องจากอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวซึ่งอาศัยอยู่ชั้น 3 แถวสะพานควาย ไม่มีลิฟต์ ทำให้ต้องมาเช่าห้องอยู่ด้านนอกที่สะดวก เนื่องจากน้องน้ำมนต์เดินไม่ได้ เงินทองที่เก็บมาจึงร่อยหรอ และครอบครัวต้องไปกู้เงินนอกระบบร้อยละ 20 สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษา สิ่งที่ได้รับจากความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มีเพียงค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัยในจำนวน 10,000 บาท
3. “ธัญวรัฎท์ หิรัณท์ยะคุปต์” เหยื่อเมาแล้วขับที่อาการสาหัสที่สุดในประเทศไทย
ชีวิตที่ไม่คาดคิดของธัญวรัฎท์ เริ่มต้นในคืนวันที่ 28 ส.ค. 2542 เวลา 20.30 น.
หลังกลับไปเยี่ยมบิดาที่โรงพยาบาล ขณะที่กำลังขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านอยู่นั้น
เมื่อถึงพระราชวังไกลกังวล ได้เกิดเหตุรถคนเมาสุราไม่ได้สติพุ่งเข้าชนรถจักรยานยนต์ของธัญวรัฎท์
ขณะเดียวกันรถที่วิ่งตามหลังมาอีกคันเบรกไม่ทัน ชนซ้ำเข้าไปอีก เป็น 3 คันรวด
แรงกระแทกจากด้านหลังทำให้ร่างของธัญวรัฎท์ ลอยขึ้นแล้วตกลงเอาหน้าฟาดกับฟุตปาธข้างทาง
เหงือกช่องหนึ่งและฟันอีก 4 ซี่หลุดออกไป กระดูกหักไปทั้งตัว ไหปลาร้าหัก กระดูกซี่โครงหักข้างละ 3 ซี่
และกระดูกเชิงกรานหัก รวมทั้งใบหน้าที่แหลกไปหมด เนื่องจากกระดูกภายในร่างกายแตกละเอียด ต้องนอนพักเป็นเวลา 2 เดือนเพื่อให้กระดูกประสานตัว
ส่วนที่ใบหน้าต้องผ่าตัดทำศัลยกรรมที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นผลให้ใบหน้ามีเหล็กอยู่ 100 กว่าชิ้น มีนอตอยู่ 38 ตัว และภายในปากหมอเอาลวดร้อยกับเหงือกเพื่อดึงฟันเอาไว้ หลังจากนั้นเธอต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลหลายรอบ เพราะเกิดการติดเชื้อ จนแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชต้องผ่าตัดด่วนอีกครั้ง เพราะมีเหล็กที่ใต้ตาติดเชื้อและมีฟันอีกหลายซี่ที่ฝังตามใบหน้า ซึ่งใบหน้าในขณะนั้นแยกออกเป็น 2 ส่วน บนล่าง จมูกแยกเป็น 4 ส่วน ต้องใส่เหล็กบริเวณหางคิ้วทั้งสองข้างเพื่อยึดหน้าเข้าหากัน
จากนั้นทางโรงพยาบาลได้ส่งต่อไปรักษาที่อื่น ซึ่งธัญวรัฎท์ ก็ได้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายแห่ง โดยระหว่างการรักษาใบหน้าให้กลับมาเหมือนเดิมนั้น
จิตใจเริ่มสับสนเกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและคดีความ ต้องพบจิตแพทย์
และได้ผ่าตัดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการผ่ากระโหลกเปิดหน้าเพื่อเข้าไปเรียงกระดูกใหม่
แต่เมื่อทำจริงแล้วทำได้เพียงข้างเดียว เพราะยากมากต้องระวังการติดเชื้อ จึงหยุดไป
ก่อนเริ่มผ่าตัดใหม่อีกครั้งโดยนำเนื้อที่ขาและท้องมาปะที่ใบหน้า
โดยระหว่างการรักษาเริ่มมีอาการผิดปกติทางสมองและควบคุมตัวเองไม่ได้ ในเรื่องคดีความ
ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้ธัญวรัฎท์ชนะคดีได้ค่าเสียหาย 2.5 ล้าน แต่สำนักงานตำรวจฯ ก็ยังอุทธรณ์ต่อ ซึ่งศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ชนะความในเวลาต่อมา ธัญวรัฎท์ได้กล่าวไว้ว่า
“ไม่โกรธที่เขามาชนแล้วทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่โกรธที่เขาไม่มีน้ำใจ ขณะที่เราเจ็บอยู่
ได้โทร.ไปบอกให้ช่วยเรื่อง พ.ร.บ. เขากลับบอกว่ายุ่ง และอีกเรื่องที่เสียใจคือ ทั้งๆ ที่เขาผิด เขายังจ้างทนายมาสู้กับเรา เขาเห็นสภาพเราแล้วบอกว่า ไม่ได้เจ็บจริง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ในขณะที่ศาลสั่งให้เราเป็นคนพิการไปแล้ว เขายังสู้คดีอีก”
4. “ครูประสิทธิ์ วงศ์หนองหว้า” ผู้เสียตาขวา เพราะคนอื่นเมา และเสียตาซ้าย เพราะตัวเองเมา
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2524 ขณะที่นายประสิทธ์ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ซูซูกิ สีเขียว ออกจากบ้านพักที่ ถ.เทวาภิบาล อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด มุ่งหน้าไปหาเพื่อนที่ตัวเมือง
เมื่อถึงสี่แยกไฟแดงมีรถมอเตอร์ไซค์ขี่สวนมาแล้วชนเข้าอย่างจัง ทำให้มีบาดแผลแตกใต้คิ้วบนขอบตาขวาและเย็บ 3 เข็ม โหนกแก้มขวาแตกเย็บ 5 เข็ม
อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เส้นประสาทตาข้างขวาขาด ไม่สามารถมองเห็นอีกต่อไป สำหรับคู่กรณีได้สารภาพว่า ผมเมาเหล้า และมีบาดแผลที่หน้าผากเย็บ 7 เข็ม
หลังจากนั้นอีกปีกว่าได้เสียชีวิตลงด้วยอาการสมองไม่ทำงาน ซึ่งมีสาเหตุจากแผลที่ศีรษะในอุบัติเหตุครั้งนั้น แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ในวันศุกร์ เวลา 19.00 น. หลังวันพระราชทานปริญญาบัตรเพียง 4 วัน นายประสิทธ์ได้ขี่รถคู่ใจคันเดิม ก่อนดื่มมาจากบ้านพักและเดินทางกลับบ้านเกิดที่ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
เมื่อขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงบริเวณหน้าท่ารถ บ.ข.ส. ห่างจากบ้านพัก 2 กิโลเมตร รถบรรทุกสิบล้อวิ่งสวนมา จังหวะเดียวกับรถจักรยานถีบซ้อนกันมาหักหลบรถสิบล้อแล้วปาดหน้ารถของนายประสิทธิ์ แต่ด้วยพิษสุรา ทำให้ไม่สามารถบังคับรถได้ จึงชนเข้ากลางลำ
และทำให้ครูประสิทธิ์เสียตาข้างซ้ายไม่สามามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
5. เรื่องราวของคุณบุญชู พวงมาลา และภรรยาซึ่งเป็นหน่วยอาสาสมัครกู้ภัยปอเต็กตึ้ง
โดยในขณะที่ทีมงานกู้ภัยทุกคนกำลังปฎิบัติภารกิจช่วยเหลือตำรวจขนรถมอเตอร์ไซด์ที่ถูกคนร้ายนำมาทิ้งไว้ขึ้นรถกระบะเพื่อจะนำไปไว้ที่โรงพักอย่างขะมักเขม้น
ได้เกิดเหตุการณ์รถจิ๊ปเชอโรกีที่มีคนเมาแล้วขับพุ่งเข้าชนกลุ่มอาสาสมัครอย่างแรง มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 5 ราย เป็นอาสาสมัคร 4 ราย และผู้ช่วยช่างภาพโทรทัศน์ 1 ราย สองรายที่บาดเจ็บสาหัสคือ คุณบุญชูซึ่งถูกอัดติดระหว่างรถทั้งสองคัน และภรรยาซึ่งกระเด็นไถลไปพร้อมกัน ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ ในเวลาเดียวกัน ลูกชายของคุณบุญชูซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งถนนกำลังจะเตรียมข้ามฟากไปหาพ่อกับแม่ ถึงกับยืนตะลึงกับเหตุการณ์อันน่ากลัวที่เกิดขึ้น ที่ต้องเห็นพ่อกับแม่ถูกรถอัดร่างต่อหน้าต่อตา ทันทีที่เหตุการณ์วุ่นวายสงบลง ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกรูกันเข้าไปดึงตัวคนขับรถคันนั้นออกมา
คนขับรถหรูคันนั้นได้แต่เดินส่ายไปส่ายมา แอ่นหน้าแอ่นหลัง พูดจาไม่รู้เรื่อง
โดยหากใครได้เห็นภาพในขณะนั้นก็คงเชื่อได้เลยว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายคนนี้ “ดื่มแล้วขับ” นั่นเอง
6. อนุสรณ์ พิพัฒน์สุขสมัย เด็กหนุ่มอนาคตไกลที่ต้องสังเวยแขนและขาให้กับอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ในคืนวันที่ 4 มิถุนายน 2546 อนุสรณ์ในสถานภาพนักศึกษา สาขาเทคโนโลยีเครื่องกล ชั้นปีที่ ในวันเปิดเทอมวันแรก ด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้เจอเพื่อนในชั้นเดียวกันมานาน เมื่อหมดชั่วโมงเรียน เขาจึงชักชวนเพื่อนๆ ไปสังสรรค์ตั้งวงดื่มเหล้ากันที่หอพักของเพื่อนในซอยเรวดี อนุสรณ์เล่าว่า “ตอนนั้นผมและเพื่อนๆ รวมประมาณ 5 คน นั่งดื่มเบียร์กันไปลังกว่าๆ เมื่อเบียร์หมดจึงชักชวนไปเที่ยวกันต่อย่าน อตก. ถนนกำแพงเพชร แต่ปรากฏว่าไปกันแค่ 4 คน เพราะอีกคนแฟนไม่ยอมให้ไป พวกเราขับมอเตอร์ไซต์ไปกัน 2 คัน 4 คน ตอนนั้นเริ่มมึนๆ กันทุกคนแล้ว
ผมเสนอตัวเป็นคนขับรถให้ แต่เพื่อนเจ้าของรถไม่ยอม ดังนั้น ผมจึงเป็นคนนั่งซ้อนท้าย
พวกเราแข่งกันขับรถและเพราะด้วยความเมาจึงขับรถอย่างคะนอง ในระหว่างทางรถคันที่ผมนั่งมากับเพื่อน ก็โดนรถคันหนึ่งเบียดตัดหน้าเข้ามาจนชนกัน ตัวผมกระเด็นออกจากรถแล้วสลบไปประมาณ 20 กว่าวันได้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่า ขาซ้ายถูกตัด ส่วนแขนซ้ายเป็นอัมพาต สมองบวม ระยะนั้นต้องผ่าตัดอยู่เรื่อยๆ เพื่อเอาเหล็กที่ดามสะโพกเข้าบ้างออกบ้างตกแต่งบาดแผลที่ถูกตัดขาไปตรวจเช็กแขนที่เป็นอัมพาต และยังคงต้องไปพบหมอเดือนละครั้งทุกเดือน ส่วนเพื่อนที่เป็นคนขับรถหรือครับ เขาเสียชีวิตคาที่”
คงไม่ต้องบอกเลยว่า ความพิการที่อนุสรณ์ได้รับนั้น ดับฝันทั้งชีวิตอย่างไร
7. คุณกิตติชัย เนตรพิศาลวนิช กับความเกรงใจที่ใช้ไม่ได้กับคนเมา
เหตุเกิดในวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนสนิทรุ่นพี่ที่รู้จักมักคุ้นกันดีคนหนึ่ง
ได้ชวนกิตติชัยไปฉลองวันเกิดด้วยกัน ตอนแรกเขาปฏิเสธเพราะวันนั้นต้องเรียนหนังสือ
อีกทั้งวันรุ่งขึ้นเขาต้องมีเรียนแต่เช้า แต่เมื่อเพื่อนสนิทรุ่นพี่อยากให้ไปสังสรรค์ด้วยกัน
ด้วยความเกรงใจเขาจึงจำต้องไปด้วย ทั้งหมดไปเลี้ยงฉลองกันย่านถนนรัชดาภิเษก
โดยเริ่มดื่มเหล้ากันตั้งแต่สามทุ่ม เมื่อยิ่งดึกทุกคนก็ยิ่งเมากันได้ที่
มีแต่ก็กิตติชัยกับเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นญาติกัน ที่ยังมีสติรู้สึกตัวได้อยู่
ทั้งสองตั้งใจว่าจะขอตัวกลับก่อนเพราะมีเรียนแต่เช้า แต่รุ่นพี่ยื้อไว้ให้อยู่ต่อ ด้วยความเกรงใจ เขาและเพื่อนจึงไม่สามารถปลีกตัวกลับ หลังงานเลี้ยงเลิก กิตติชัยเห็นว่า
รุ่นพี่เจ้าของวันเกิดที่เป็นเจ้าของรถเมามาก จึงขอตัวจะกลับที่พักเองโดยเรียกแท็กซี่
แต่เพื่อนรุ่นพี่ไม่ยอมจะให้กลับเป็นเพื่อน ด้วยความเกรงใจกิตติชัยจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่เขาขออาสาที่จะเป็นคนขับรถให้ “ผมบอกพี่ว่าจะขับรถให้ เพราะตอนอยู่ที่บ้านศรีราชา ก็จะเป็นคนขับรถให้ที่บ้านเป็นประจำ แต่พี่เขาไม่ยอมเขาหวงรถใหม่ป้ายแดงของเขา รถคันที่ผมนั่งมานั้นขับเร็วมาก ประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเห็นจะได้
ซึ่งผมนั่งเบาะหลังตรงกลางจึงมองเห็นเข็มไมล์ตลอด มันน่ากลัวมาก
พี่เขาขับเร็วและขับฝ่าไฟแดงมาตลอดประมาณ 3 ไฟแดง พอไปถึงไฟแดงตรงสี่แยกพญาไท และเป็นจังหวะไปแดง แต่พี่เขาก็ขับฝ่าไปอีก ยังไม่ทันพ้นสี่แยก ผมก็ได้ยินเสสียงเปรี้ยงดังสนั่น รถของเราชนเข้าอย่างจังกับรถที่วิ่งไฟเขียวมาตรงๆ เลย” อุบัติเหตุในครั้งนี้ ทำให้คนที่นั่งข้างคนขับเสียชีวิตคาที่ คนขัรถร่างกระแทกกับพวงมาลัยอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหัก และอีกสองคนที่นั่งข้างกับกิตติชัยมีบาดแผลกระจกรถบาด สำหรับกิตติชัย ไม่มีบาดแผลตามเนื้อตัวเลย มีกระจกบาดที่ศีรษะนิดหน่อย จึงดูเหมือนว่าเขาน่าจะเจ็บน้อยกว่าคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ เขาซึ่งนั่งตรงกลางได้กระเด็นไปทางด้านหน้า
ไหล่ทั้งสองข้างของเขากระแทกกับพนักพิงของคนขับข้างหน้า เป็นผลทำให้น้ำหนักศีรษะกดลงทำให้กระดูกต้นคอหักทับเส้นประสาท เป็นอัมพาตไปทั้งตัว ร่างกายตั้งแต่คอลงไปขยับไม่ได้ หลังจากที่กิตติชัยรักษาตัวมาได้ซักระยะ แล้วรู้ว่าตนเองจะต้องพิการไปตลอดชีวิต เขาพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ส่วนรุ่นพี่เจ้าของรถตอนนี้ก็ติดคุกข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท
ส่วนคู่กรณีที่โดนรถของพวกกิตติชัยฝ่าไฟแดงขับไปชนในครั้งนั้น บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต
“ถ้าวันนั้นผมไม่เกรงใจรุ่นพี่ และตัดสินใจที่จะกลับก่อน ผมคงไม่ต้องมานั่งเสียใจ
และครอบครัวของผมก็ไม่ต้องมาเสียใจกับความสูญเสียที่ผมได้รับ”