เรื่องนี้มีความน่าสนใจหลายแง่มุม จากผลการพิจารณาคดีอะไรต่างๆจะเห็นว่า แม้อีเกลี้ยงจะเป็นทาส แต่ก็ไม่ได้หมายความอีอยู่จะทำทารุณกรรมตามใจชอบได้ (อันนี้เป็นสิทธิมนุษยชนตามระบบสังคมศักดินาเดิม ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง) เสียดายที่ทาสอื่นไม่กล้าไปแจ้งความก่อนหน้านี้ ไม่งั้นอีเกลี้ยงคงไม่ต้องทนทรมานทรกรรมขนาดนี้
แต่ลักษณะของนายทาสอย่างนี้ หรือปัจจุบันกลายสภาพเป็นนายจ้าง บางคนก็ไม่ต่างจากอีอยู่ในเรื่องของความทารุณโหดร้าย ร้อยปีไม่มีอะไรเปลี่ยนสำหรับ dark side ของคน เฮ้อ เพียงแต่ยุคนี้ลูกจ้างจะมีโอกาส หรือมีงมากขึ้นที่จะขอรับความยุติธรรมจากกฎหมายบ้านเมืองหรือไม่เท่านั้น
น่าสังเกตจากบันทึกของนายคาร์ล บอก ที่บอกว่า
" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปกติไม่ค่อยเต็มพระทัยในการลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งประหารชีวิตนัก มิได้ทรงรีรอเลยสำหรับคดีรายนี้ "
เมื่อดูพฤติการณ์ของเจ้าหล่อนจะเห็นว่ามโหดผิดมนุษย์มนา การกระทำก็ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ เพราะมีการทำซ้ำและต่อเนื่องหลายวัน หลายครั้ง เรียกว่าหาเมตตาจิตไม่เจอ ในสังคมที่คดีไม่ค่อยชุกอย่างสมัยนั้น จึงเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก ไม่น่าจะปล่อยให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นายทาสอื่นๆด้วย อันนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ยุคที่ไม่มีทาส และยุคประชาธิปไตย แต่เปอร์เซ็นต์ทารุณกรรมทิ้งห่าง ขอบอก
โดยส่วนตัวเห็นเพิ่มเติมอีกอย่างคือ แสดงว่าในสมัยนั้นชีวิตทาสก็มีความหมาย อันนี้เป็นรูปธรรมจากบทลงโทษและพระราชวินิจฉัยของพระเจ้าอยู่หัวในคดีนี้
สุดท้าย อุทาหรณ์อีกเรื่องคือ ไม่ว่าเมื่อไหร่เบาะแสจากประชาชนนี่สำคัญ ไม่มีนายหนู อีเกลี้ยงก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะไม่มีใครไปแจ้งบ้านเมือง และก็ต้องขอบคุณสัปเหร่อที่ทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง นี่ถ้าเป็นสมัยนี้ยัดเงินสักหน่อย ไม่แน่ศพอีเกลี้ยงคงลงดินไปตั้งแต่หนแรกแล้วมั้ง
ตรงนี้เห็นชัดอีกเช่นกันว่า หน้าที่พลเมือง นั้นมีความสำคัญขนาดไหน