วิธีดูแล “โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง หลังภาวะน้ำท่วม
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ภาวะอุทกภัยและน้ำท่วมขัง อาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังหลายชนิดตามมา โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่ผิวหนังซึ่งเกิดจากผื่นเรื้อรังจากโรคน้ำกัดเท้า
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อที่ผิวหนังจากภาวะน้ำท่วมขัง เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย น้ำกัดเท้าทำให้ผิวเปื่อยลอก จะเป็นจุดที่เชื้อแบคทีเรียในน้ำสกปรกเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย โดยจะพบอาการดังนี้
หากติดเชื้อในผิวหนังชั้นตื้น จะทำให้ฝ่าเท้ามีลักษณะเปื่อยยุ่ยเป็นหลุมเล็ก ๆ มีกลิ่นเหม็น
อาจเกิดเป็นตุ่มหนอง รูขุมขนอักเสบ
หากการติดเชื้อลุกลามไปยังผิวหนังชั้นลึกจะทำให้ผิวหนังบวมแดงร้อน กดเจ็บ และลามเร็วไปยังบริเวณใกล้เคียง
อาจมีไข้สูง และต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้ภูมิต้านทานไม่แข็งแรง เช่น เบาหวาน ตับแข็ง โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย เป็นต้น การติดเชื้อมักรุนแรง ลามเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
ผิวหนังติดเชื้อรา
นอกจากนี้ ในภาวะน้ำท่วมขังยังอาจพบว่าผิวหนังติดเชื้อรา จากการที่น้ำกัดเท้าต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยสังเกตอาการได้ ดังนี้
มีผื่นแดงแฉะ
มีขุยขาวลอกบริเวณซอกนิ้ว
ผื่นหนา เปื่อยยุ่ย ลอกเป็นขุย มีกลิ่นเหม็น หรือที่เรียกว่า ฮ่องกงฟุต
หากปล่อยให้การติดเชื้อราที่เท้าเป็นเรื้อรังผื่นจะหนาขึ้นเรื่อย ๆ และยากต่อการรักษาให้หายขาด
วิธีป้องกันโรคผิวหนังจากน้ำท่วม
ควรทำความสะอาดผิวหนังที่สัมผัสน้ำท่วมขังด้วยน้ำสะอาด และสบู่หลังลุยย่ำน้ำ
หลีกเลี่ยงการลุยย่ำน้ำหากมีรอยถลอกหรือบาดแผล
ระวังรักษาผิวหนังให้แห้งอยู่เสมอ จะช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคได้
หากผิวหนังติดเชื้อรา ต้องทายาฆ่าเชื้อราอย่างสม่ำเสมอ ทายาต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงยาทาฆ่าเชื้อโรคอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง เพราะจะทำให้ผิวแห้งคันมากขึ้น
อย่างไรก็ตามบางพื้นที่อาจมีสภาพแวดล้อมที่อยู่ในภาวะอุทกภัยจึงหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ยาก การมีความรู้เกี่ยวกับโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยจากน้ำท่วมและการดูแลตนเองในเบื้องต้นอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากมีอาการของการติดเชื้อในผิวหนังชั้นลึกหรือเป็นผู้มีภูมิต้านทานบกพร่อง ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้ทันท่วงที