รู้จัก “โรคไข้หูดับ” กินเนื้อหมู กึ่งสุก กึ่งดิบ อันตรายถึงชีวิต
ทำความรู้จักกับโรคไข้หูดับ อีกหนึ่งภัยร้ายที่เกิดจากการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หากใครได้รับเชื้ออาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นชีวิต
การค้นพบและการระบาดของโรคไข้หูดับ
การรายงานผู้ป่วยติดเชื้อ เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเดนมาร์กในปี 2511 หลังจากนั้นก็พบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการเลี้ยงหมูอย่างหนาแน่น
ต่อมาในปี 2548 มีการระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวน 215 ราย เสียชีวิต 38 ราย โดยประวัติผู้ป่วยส่วนใหญ่พบสัมผัสหมูหรือเนื้อหมูที่ติดเชื้อ อาการส่วนใหญ่ที่พบ คือ การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเยื่อหุ้มสมองอับเสบ และภาวะช็อค
ลักษณะของโรคไข้หูดับ
โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อ สเตรปโตคอคคัส ซูอิส เป็นสาเหตุของภาวะเยื่อหุ้มในสมอง การติดเชื้อในกระแสเลือดและการสูญเสียการได้ยิน สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน จากการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบและการสัมผัสสัตว์ป่วยทำให้เชื้อเข้าทางแผลตามร่างกาย โดยส่วนมากจะผู้ติดเชื้อมักมีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู ทำงานในโรงงานชำแหละหมู หรือผู้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของหมู เช่น น้ำมูก น้ำลาย
ผู้ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้จำหน่าย หรือผู้ที่รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบหมูดิบ หรือ หลู้ ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่โดยทั่วไปจะพบในผู้ใหญ่ และพบในเพศชายสูงกว่าเพศหญิง
อาการและการก่อโรคไข้หูดับ
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ภายใน 3 วันจะมีอาการ ดังนี้
-มีไข้สูง
-ปวดเมื่อยตามตัว
-ปวดศีรษะ
-เวียนศีรษะ
-ปวดตามข้อ
-มีจ้ำเลือดตามตัว ตามผิวหนัง
-ซึม
-คอแข็ง
-ชัก
มีการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึก
อีกทั้งยังนำไปสู่การเสียชีวิตจากภาวะ toxic shock syndrome ผู้ป่วยบางรายที่ไม่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะพบความพิการตามมา เช่น สูญเสียการทรงตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และสูญเสียการได้ยินถึงขั้นหูหนวกหรือเรียกว่า หูดับ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจะถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
การป้องกันโรคไข้หูดับ
หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ หากผู้ปรุงอาหารจากเนื้อหมูมีบาดแผลที่ผิวหนัง ต้องทำการปิดแผล และสวมถุงมือขณะปรุง เลือกซื้อเนื้อหมูที่ไม่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ เนื้อยุบ ก่อนประกอบอาหารควรต้มด้วยอุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียส นานอย่างน้อย 10 นาที หรือต้มจนไม่มีสีแดง