รู้จัก เรมเดซิเวียร์ ตัวช่วยใหม่ รับมือโควิดที่ไทยควรสต็อกไว้
เรมเดซิเวียร์ เป็นยาต้านไวรัสที่พัฒนาโดยบริษัทยาของสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับโรงงานผลิต 10 แห่งในอินเดีย ทำให้ไทยได้รับยาต้านไวรัสชนิดนี้ในราคาที่สามารถจับต้องได้ (ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อคอร์สการรักษา 6 วัน) และเข้าถึงวิธีการรักษาที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ
แม้เรมเดซิเวียร์อาจไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ช่วยทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกได้ในหลายๆ แง่มุม เช่น ลดจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล จำนวนวันที่นอน ICU และวันที่ต้องใช้ออกซิเจน อีกทั้งยังช่วยลดความตึงมือต่อบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
จากการเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดที่มีคุณภาพให้กับประชาชนจะเป็นวิธีการที่จะช่วยรับมือและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้ที่สุดแล้ว ยาต้านไวรัสก็ถือว่ามีส่วนสำคัญไม่แพ้กันที่จะช่วยพลิกสถานการณ์วิกฤตโควิด โดยเฉพาะในประเทศที่ระบบสาธารณสุขเริ่มตึงมือ ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล เตียงขาดแคลน และการเร่งฉีดวัคซีนโควิดยังไม่รุดหน้าเท่าที่ควร
เดิมทีถือเป็นยาต้านไวรัสที่พัฒนาโดยบริษัทยาของสหรัฐฯ เมื่อปี 2015 ก่อนที่จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับโรงงานผลิต 10 แห่งในอินเดีย ทำให้ประเทศไทยได้รับยาต้านไวรัสชนิดนี้ในราคาที่สามารถจับต้องได้ (ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อคอร์สการรักษา 6 วัน) และเข้าถึงวิธีการรักษาที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ ซึ่งประเทศไทยนำเข้าเรมเดซิเวียร์เพื่อใช้เป็นกรณีฉุกเฉินแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 ตามกฎระเบียบของคณะกรรมการอาหารและยา
ยาต้านไวรัส 2 ชนิดที่ประเทศไทยใช้อยู่ในขณะนี้คือ ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ที่เป็นยาเม็ด กับเรมเดซิเวียร์ที่เป็นยาฉีด โดยส่วนใหญ่เรมเดซิเวียร์จะใช้ในเคสที่มีอาการรุนแรง เคสที่เชื้อลงปอด ปอดอักเสบจนต้องนอนโรงพยาบาล และเคสที่มีออกซิเจนต่ำกว่า 94% โดยจะให้ยาวันละ 1 ครั้ง โดยทั่วไปจะให้ประมาณ 5 วัน ส่วนในเคสที่อาการหนักมากๆ อาจจะพิจารณาให้ 10 วันได้
นพ.เกริก อธิบายถึงธรรมชาติของการติดโรคโควิดว่า โดยทั่วไปธรรมชาติของโควิดจะแบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกคือช่วง 7-10 วันแรก ที่จะมีอาการไอ มีน้ำมูก เจ็บคอหลังจากที่เชื้อฟักตัว จะเป็นเฟสที่ไวรัสทำร้ายเรา เรียกว่า ‘Viral Phase' พอเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 2 แล้ว (Day of Illness: DOI) จะมีกลไกที่ชื่อว่า ‘Inflammatory Phase' หรือ เกิดการอักเสบขึ้น
โดยเราจะสามารถเริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เรารับเชื้อมา 3-5 วัน การแพร่จะจบใน 10-14 วัน ถ้าไม่ได้ลงปอดรุนแรง นั่นจึงเป็นที่มาของการกักตัว 14 วัน แต่ในกรณีที่เชื้อลงปอดรุนแรง ต้องนอน ICU นอนโรงพยาบาลนาน โอกาสในการแพร่เชื้อก็อาจนานกว่า 2 สัปดาห์ก็ได้
"ยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นฟาวิพิราเวียร์หรือเรมเดซิเวียร์เอง เราอยากให้ในช่วงแรกของโรค เป็นช่วงไวรัสเฟส ถ้าบางคนมาด้วยอาการในวันที่ 10 แล้ว อาจแปลว่าใกล้จะหายแล้ว การใช้ยาต้านไวรัสก็อาจไม่จำเป็น ถ้าเราอยากจะฆ่าไวรัส เราต้องฆ่าภายใน 7-10 วันแรก
"โดยเราจำเป็นต้องรู้ว่าคนไข้เป็นมากี่วันแล้ว ถ้าคนไข้อาการไม่เยอะ เป็นเหมือนหวัดเฉยๆ เราก็รักษาเหมือนหวัด เอกซเรย์ปอดแล้วไม่มีปัญหาอะไร ค่าออกซิเจนดี กลุ่มนี้ก็จะถือว่าเป็นหวัด กลุ่มนี้ยาต้านไวรัสก็อาจจะไม่จำเป็นเท่าไร แต่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างคนที่อายุเยอะ 60 ปีขึ้นไป หรือว่าคนไข้ที่เป็นโรคอ้วน คนที่มีโรคประจำตัวเยอะ กลุ่มนี้มักจะต้องประเมินและอาจจะต้องได้รับยาต้านไวรัสเร็วหน่อย เพราะว่าเขามีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงได้
"การต่อสู้แบ่งเป็น 2 ยก ยกแรกไวรัสอัดเรา ยกสองการอักเสบอัดเรา เราจำเป็นจะต้องทำให้คนไข้ไม่ช้ำเกินไป ภายใน 7-10 วันแรก ถ้ามียาต้านไวรัสตัวใดที่เหมาะสม เพื่อทำให้ปอดไม่ช้ำเกินไป เพราะปอดของคนไข้จะทรุดลงอีกครั้งได้เมื่อยกสองมาถึง"
แม้ว่างานวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) จะบ่งชี้ว่ายาต้านไวรัสชนิดนี้อาจไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ จนนำไปสู่การแนะนำไม่ให้แพทย์ใช้เรมเดซิเวียร์เป็นตัวยาหลักในการรักษาผู้ป่วยโควิด แต่นักวิจัยในหลายประเทศอย่างสหรัฐฯ ได้นำเรมเดซิเวียร์ไปศึกษาในเคสผู้ป่วยหนัก พบว่า แม้เรมเดซิเวียร์จะไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็มีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคลายภาวะตึงมือของระบบสาธารณสุขที่ห้อง ICU เต็ม เตียงผู้ป่วยขาดแคลนได้
"งานศึกษาวิจัยในเคสผู้ป่วยหนักพบว่า เรมเดซิเวียร์ไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็ช่วยในหลายๆ เรื่อง เช่น ลดจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล ลดจำนวนวันที่นอน ICU ลดจำนวนวันที่ต้องใช้ออกซิเจน แสดงให้เห็นว่ายาต้านไวรัสนี้มีส่วนช่วยลดความรุนแรงของโรค
นอกจากนี้ นพ.เกริก ยังมองว่า "ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับฟาวิพิราเวียร์ที่เป็นยาต้านไวรัสหลักของเมืองไทยค่อนข้างน้อย ยาดังกล่าวน่าจะพอใช้ได้เมื่อเจอกับไวรัสสายพันธ์ุดั้งเดิมจากอู่ฮั่น พอเป็นสายพันธ์ุที่แบ่งตัวเก่งขึ้น กระจายเก่งขึ้น ความรุนแรงเริ่มเยอะขึ้น ยาต้านไวรัสจำเป็นต้องให้เร็ว แล้วฟาวิพิราเวียร์เป็นตัวที่อ่อนกว่า ไวรัสแบ่งตัวไประดับหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นเรา ‘ไล่ตามเกม' อยู่ ถ้าเราใช้ยาตัวที่อ่อนกว่า หรืออาจพอใช้ได้ในคนไข้ที่แข็งแรง แต่ถ้าในคนไข้ที่มีโรคประจำตัวอาจจะไม่ทันการณ์ เราจะวิ่งตามไม่ทัน ฆ่าไวรัสไม่ทัน ฆ่าได้ช้า
ขณะที่กรณีเชื้อดื้อยา หลังเชื้อไวรัสโคโรนามีแนวโน้มกลายพันธ์ุอย่างต่อเนื่อง นพ.เกริก ชี้ว่า ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ก็อาจพบเคสที่อาการทรุดเร็วขึ้น เนื่องจากเชื้อแบ่งตัวเร็วขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มที่มีโรคประจำตัว