ควรรู้! ระวัง 4 สารกันแดดที่ห้ามใช้ในอุทยาน พร้อมเปิดสูตรทา
เช่น ถ้าอยู่กลางแสงแดดจัด 15 นาทีแล้วผิวหนังเริ่มแสบแดง หากทาครีมกันแดด SPF 15 ก็จะทนแดดเพิ่มขึ้น 15 เท่าจากเวลา 15 นาที หากค่า SPF50 ก็จะเพิ่มขึ้นไปเป็น 50 เท่า แต่การใช้ค่าสูงๆ ก็จะทำให้มีโอกาสได้รับสารเคมีสูงขึ้นด้วย ดังนั้น การใช้ครีมกันแดดต้องใช้อย่างเหมาะสม โดยทาก่อนออกแดด 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
"ปริมาณการทาครีมกันแดดที่เหมาะสม คือ 2 มิลลิกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือเทียบเท่ากับ 1 ข้อนิ้ว หรือประมาณ 5 กรัม ซึ่งแต่ละส่วนของอวัยวะจะใช้ปริมาณแตกต่างกัน ดังนี้ ใบหน้าใช้ 2 ข้อนิ้ว, ใบหน้าและลำคอ 2.5 ข้อนิ้ว, ลำตัวหน้า 7 ข้อนิ้ว, ลำตัวหลัง 7 ข้อนิ้ว, แขนข้างเดียว 3 ข้อนิ้ว, ฝามือข้างเดียว 1 ข้อนิ้ว, ขาข้างเดียว 6 ข้อนิ้ว และเท้าข้างเดียว 2 ข้อนิ้ว ดังนั้น หากจะทากันแดดทั้งตัวต้องใช้ครีมกันแดดประมาณ 40 ข้อนิ้ว"
ผศ.ภญ.บุญธิดา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีการห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่ส่วนประกอบของสารเคมีที่อันตรายต่อปะการังเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาตินั้น มีการประกาศสารกันแดดทั้งหมด 4 ตัว คือ Ethylhexyl Methoxycinnamate, Oxybenzone, 4-Methylbenzylidene camphor และ Butylparaben เนื่องจากเกิดการฟอกขาวของปะการังและตัวอ่อนปะการังผิดรูป
ดังนั้น การเข้าไปเล่นน้ำในอุทยานฯ ต้องเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารเหล่านี้ เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกครีมกันแดดเมื่อไปเล่นน้ำลงทะเล จึงควรใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำ เพราะจะเกาะติดผิวได้นาน ไม่ชะล้างลงแหล่งน้ำ และลดการปนเปื้อนลงสิ่งแวดล้อม หรือเป็น "Biodegradable" ที่สามารถย่อยสลายได้เอง
ผศ.ภญ.อัญชลี กล่าวต่อว่า ส่วนเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปสามารถใช้ครีมกันแดดได้ แต่ควรใช้สูตรสำหรับเด็กโดยเฉพาะที่มีความอ่อนโยน ระคายเคืองผู้น้อย เพราะหากใช้ของผู้ใหญ่ทาอาจระคายเคืองผิวได้ หรือต้องใช้แบบ Non Chemical
ผศ.ภญ.อัญชลี กล่าวอีกว่า ส่วนการทากันแดดรอบดวงตาต้องระมัดระวัง เพราะผิวรอบดวงตาบอบบางกว่าผิวหน้าส่วนอื่น 40% ทาแล้วซึมและระคายเคืองได้สูงกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ที่จะมีอาการก็มาจากส่วนผสมอื่นของครีมกันแดดหรือเครื่องสำอางอื่นๆ ที่ทำให้ผิวรอบดวงตาระคายเคือง ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงมีผลิตภัณฑ์สำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ