ญี่ปุ่นแนะวิธีป้องกันแบคทีเรียกินเนื้อคน หลังพบติดเชื้อกว่า 500 ราย


ญี่ปุ่นแนะวิธีป้องกันแบคทีเรียกินเนื้อคน หลังพบติดเชื้อกว่า 500 ราย

กรุงโตเกียว แนะวิธีป้องกันการติดเชื้อโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน และอาการที่ต้องเฝ้าระวัง หลังระบาดหนักพบผู้ป่วยทั่วประเทศแล้วกว่า 500 ราย

โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน นับเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 941 ราย และในปี 2024 นี้สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังการระบาดหนักขึ้นทั้งในกรุงโตเกียวและทั่วประเทศญี่ปุ่น หลังพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 500 ราย โดยเพียงในกรุงโตเกียวพบผู้ติดเชื้อถึง 88 ราย

โดยสำนักข่าว The Japan Time ระบุว่า ณ วันที่ 17 มีนาคม 2024 พบผู้ป่วยโรคเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อในกรุงโตเกียวแล้ว 88 ราย และมีผู้เสียชีวิต 42 ราย ส่วนทั่วประเทศมีผู้ป่วย 512 ราย ซึ่งตัวเลขนี้นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งทั้งปีพบผู้ป่วย 941 ราย ซึ่งทำลายสถิติผู้ป่วยสูงสุดเดิมเมื่อปี 2019 ที่มีถึง 894 ราย

จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2024 กรุงโตเกียวประกาศแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อให้เพิ่มความระมัดระวัง พร้อมแนะวิธีป้องกันการติดเชื้อ และสังเกตอาการที่เข้าข่าย

สำหรับโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือ streptococcal toxic shock syndrome (STSS) นั้นเป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หนึ่งในนั้นคือ แบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม A ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังและกล้ามเนื้อตาย โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30%

ในส่วนช่องทางการติดเชื้อนั้น แบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม A สามารถแพร่เชื้อได้หลายช่องทางทั้งผ่านละอองจากการไอ จาม การสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ รวมถึงทางบาดแผลบริเวณมือหรือเท้า

ด้านกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้นั้น โรคแบคทีเรียกินเนื้อสามารถเกิดได้ในทุกเพศและวัย แต่จากสถิติช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในญี่ปุ่นพบว่าในแต่ละปีผู้ป่วย 90% จะเป็นกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป และในปี 2023 ที่ผ่านมาพบการติดเชื้อในกลุ่มอายุ 40-50 ปี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


ด้วยเหตุนี้กรุงโตเกียวจึงแนะนำให้ประชาชนป้องกันตัวเองโดยสังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อชนิดนี้ เช่น การปวดและบวมตามแขนขา หรือมีไข้ ให้รีบพบแพทย์ทันที ส่วนการป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อนั้นให้ปิดปาก-จมูกขณะไอ-จาม รวมถึงหมั่นล้างมือ และทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี



เครดิตแหล่งข้อมูล :
prachachat





เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์