คิดฟุ้งซ่าน สุขภาพจิตแย่ แก้ได้อย่างไรดี?


คิดฟุ้งซ่าน สุขภาพจิตแย่ แก้ได้อย่างไรดี?


จัดการความคิดฟุ้งซ่านเพื่อสุขภาพจิตที่ดี: บทเรียนจากวิทยาศาสตร์สมองและการทำสมาธิ


ความเข้าใจผิด 3 ประการเกี่ยวกับสุขภาพจิต
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพจิต ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถดูแลจิตใจได้อย่างถูกต้อง

สุขภาพจิตดีไม่ได้หมายถึงการมีความสุขตลอดเวลา: การมีสุขภาพจิตที่ดีคือการที่เรายอมรับและเข้าใจอารมณ์ทุกรูปแบบ ทั้งด้านบวกและลบ การรู้สึกเศร้าหรือหงุดหงิดบ้างเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และไม่ได้แปลว่าสุขภาพจิตของเราแย่

สุขภาพจิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่สมองเท่านั้น: ในความเป็นจริง สุขภาพจิตเชื่อมโยงกับร่างกายและสภาพแวดล้อมของเราด้วย ดังนั้นการดูแลตนเองขั้นพื้นฐาน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ และการออกกำลังกาย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เราไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ได้ทั้งหมด:
สมองของเรามักจะทำงานอยู่ในโหมดที่คิดถึงอดีตหรืออนาคต การพยายามใช้เหตุผลเพื่อควบคุมอารมณ์จึงมักจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร การยอมรับความรู้สึกและฝึกอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

5 เสาหลักสู่สุขภาพจิตที่แข็งแรง

เพื่อให้เราสามารถประเมินและดูแลสุขภาพจิตของตนเองได้ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุ 5 เสาหลักสำคัญที่ควรใส่ใจ ได้แก่

ความสัมพันธ์:
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคม ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีหรือความโดดเดี่ยวสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของเราอย่างรุนแรง

กิจกรรมทางกาย:
การมีพลังงานและแรงจูงใจในการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นสัญญาณที่ดีของสุขภาพจิต ในทางตรงกันข้าม การขาดความกระตือรือร้นในการออกกำลังกายอาจเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องหันมาใส่ใจตนเองมากขึ้น

การมีสติ:
การอยู่กับปัจจุบันขณะจะช่วยลดการทำงานของสมองในภาวะที่เรียกว่า "Default Mode Network" ซึ่งเป็นภาวะที่สมองทำงานหนักและใช้พลังงานมหาศาลเมื่อเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

การเรียนรู้สิ่งใหม่:
การเรียนรู้ทักษะหรือความรู้ใหม่ๆ เป็นการบริหารสมองที่ช่วยให้เราตื่นตัวและมีชีวิตชีวามากขึ้น

การให้:
การช่วยเหลือและแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นไม่เพียงแต่จะสร้างพลังงานบวกให้กับคนรอบข้าง แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของเราเองอีกด้วย

พักสมองด้วยการทำสมาธิ

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เมื่อจิตใจเราไม่ได้จดจ่อกับงานเฉพาะหน้า สมองจะเข้าสู่โหมด "Default Mode Network" ซึ่งเป็นโหมดที่ใช้พลังงานสมองถึง 60-80% การทำสมาธิจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้สมองได้พักผ่อนและฟื้นฟูจากการทำงานหนักในโหมดนี้ได้ดีที่สุด

การทำสมาธิอย่างง่ายมี 4 ขั้นตอน:

นั่งในท่าที่ถูกต้อง:
เลือกที่นั่งที่สบาย ผ่อนคลาย และเหมาะสม

สำรวจร่างกาย:
ค่อยๆ สังเกตและผ่อนคลายความตึงเครียดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

จดจ่อกับลมหายใจ:
ให้ความสนใจกับการหายใจเข้าและออกตามธรรมชาติโดยไม่ต้องบังคับ

จัดการกับสิ่งรบกวน:
เมื่อความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ให้ค่อยๆ ดึงสมาธิกลับมาที่ลมหายใจอย่างอ่อนโยน โดยไม่ต้องตำหนิตนเอง

การฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราจัดการกับความคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ใช้พลังงานน้อยลง และนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน


เครดิต :
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม บันเทิงดารา


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์